Thursday, June 22, 2006

..จังหวะชีวิต..


แม่เคยสอนว่า “เราเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง”

หลายคนก็คงเคยถูกสอนแบบนี้ ดิฉันถูกสอนบวกกับถูกว่าในหลายต่อหลายครั้ง ความประทับใจในวัยเด็กเรายังจำได้ดี

เนื่องจากแม่มีลูกหลายคน ดิฉันเป็นพี่คนโต มีน้องสาวหนึ่งคนและน้องชายอีกสองคน ในวัยที่ไล่เลี่ยกัน แต่ละวัน เหมือนการจับปูใส่กระด้งค่ะ พวกเราจะสนิทสนมกันเป็นคู่ๆ แปลกที่ว่าดิฉันมักจะทะเลาะกับน้องชายคนเล็กเสมอ อายุของเราห่างกับเกือบๆ 5ปีค่ะ แต่ดิฉันเป็นพี่ประเภทที่ว่าไม่ค่อยยอมน้อง

สมัยนั้นคุณยายยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม อายุแต่ละคนก็ไม่กี่ขวบเอง จำได้ว่า เล่นตุ๊กตาล้มลุกกันอยู่มั้งคะ แต่ไปๆมาๆยังไงไม่รู้ น้องชายคนเล็กนี่แหละที่แย่งเอาตุ๊กตาล้มลุกไป ดิฉันโมโห โยนตุ๊กตาลงกับพื้นจนตุ๊กตาแตกเป็นเสี่ยงๆ คุณยายก็ดุดิฉันสิคะ บอกว่าเป็นพี่ ไม่ยอมเสียสละให้น้อง ว่าแล้วก็เดินกระทืบเท้าออกจากบ้าน (ดูสิ ไม่ยอมใครและเอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่เด็กเลย )

เป็นพี่นี่ต้องเสียสละจริงๆนะคะ ความที่อาวุโสกว่าเรียกได้ว่า ควรที่จะมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า ซึ่งในเรื่องชิวตประจำวันในทุกวันนี้ หรือแม้แต่ชีวิตการทำงานก็เช่นกัน คนที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่มากกว่า ความรับผิดชอบมันก็ต้องมากเป็นเงาตามตัวด้วย ขอให้ทำใจไว้เลยค่ะ

เรื่องความรับผิดชอบเนี่ย บางเหตุการณ์เราไม่ได้ทำความผิดด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีสมาชิกในทีมของเราทำผิด เรื่องมันต้องขึ้นตรงต่อตัวเรา แต่เรานี่แหละต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบไปโดยปริยาย บางครั้งก็น่าเบื่อเหมือนกันนะคะ คนที่รับหน้า คนที่ถูกตำหนิ คนที่ต้องกล่าวขอโทษก็ต้องเป็นตัวเรานี่แหละ

สัปดาห์นี้เจอมาหลายเหตุการณ์ที่ตัวดิฉันเองต้องมานั่งรับผิดชอบ การที่รับผิดชอบนี้บางครั้งก็ถูกตำหนิแรงๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ หนังหน้าไฟ ทำได้ก็คือทำใจอีกแล้ว โชคดีที่มีคนคอยให้กำลังใจ ถ้าไม่มีคนๆนี้ดิฉันคงหมดกำลังใจเหมือนกัน

การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในงานไหน องค์กรใด ดิฉันว่ายิ่งอยู่ ยิ่งทำงาน มันยิ่งจะยากขึ้นทุกวี่ทุกวัน การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน ยิ่งอยู่ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นจังหวะชีวิตก็ได้ ที่ช่วงนี้ได้พบได้เจอกับเรื่องพวกนี้ จังหวะที่มากระทบชีวิตแบบนี้ มันก็บั่นทอนเราเหมือนกันนะคะ หลายครั้งที่ถามตัวเองว่า เมื่อไรจังหวะแบบนี้มันจะสิ้นสุดลงเสียที คำถามแบบนี้ ไม่มีใครที่ตอบได้ แม้กระทั่งตัวเอง ตัวเราระวังแล้ว แต่มันก็เกิดขึ้นอีก โดยที่ตัวเราไม่ได้กระทำ แต่ต้องมานั่งรับหน้าในสิ่งที่ผู้อื่นสร้างเรื่องไว้ ทำให้ต้องมานั่งหวาดระแวง เวลาจะก้าวเท้าออกจากบ้าน ว่าวันนี้จะต้องพบจะต้องเจอกับอะไรอีกหนอ?

บอกตัวเองว่า เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง เหมือนพายุ เหมือน ฝน เมื่อฝนซา ฟ้าก็ใส

แต่ตอนนี้เริ่ม หมดแรง ไม่รู้เมื่อไร ฟ้าจะใส เมื่อไรพายุจะหมด เตรียมรับพายุต่อไปอย่างระแวดระวัง

นี่และหนา จังหวะชีวิตของคน



( ภาพ : Hilltop โดย Benson Frank Weston )

6 Comments:

At 12:00 PM, Anonymous Anonymous said...

เป็นจังหวะชีวิตและเรื่องราวที่มีความหมายเหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าคุณเมย์เริ่มจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้วงหรือยัง หลังจากที่เขียนบันทึกนี้ี้เสร็จในตอนที่อ่อนแรงแล้วเนี่ย

 
At 3:11 PM, Blogger someone said...

มีเพื่อนอยู่ที่นี่อีกหลายคนนะที่เป็นกำลังใจให้ มีมืดก็มีสว่าง หลับสักตื่น จะได้มีเรี่ยวแรงสู้ต่อไป :-)
อายุเพิ่ม ประสบการณ์เพิ่ม เงินเดือนเพิ่ม ความรับผิดชอบก็เพิ่มตามขึ้นมาด้วย ความอดทน-อดกลั้นจะช่วยให้เราผ่านเรื่องต่างๆ ไปได้ และสิ่งที่เราจะได้ตามมาก็คือความภูมิใจที่เราสามารถผ่านกลางคืนที่มืดมิด ...น่าดีใจนะที่คุณยังมีอีกมือที่คอยจูง...

 
At 1:37 AM, Anonymous Anonymous said...

เดี๋ยวมันก็ผ่านไปครับ พยายามอย่าเก็บเอามาคิด ให้มันจบอยู่แค่ที่ทำงาน

เป็นกำลังใจให้ครับ หวังว่าคงมีแรงขึ้นมาอีกครั้งโดยไว

 
At 8:36 PM, Blogger hospitalgirl said...

ยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไรค่ะคุณบอน..แต่ก็ต้องพยุงแขนขาของตัวเอง ให้มีแรงเอาไว้ให้ได้ค่ะ..โชคดีมีคนให้กำลังใจค่ะ //ขอบคุณนะคะคุณบอน อุตส่าห์แวะมาที่นี่ :)

 
At 8:38 PM, Blogger hospitalgirl said...

ขอบคุณค่ะคุณ someone...มองในแง่ดี ก็แบบที่คุณว่าค่ะ..ถ้าเราผ่านพ้นไปได้ มันจะเป็นความภาคภูมิใจของเราเอง :) โชคดีจริงๆค่ะ ที่มีคนใกล้ๆตัวคอยให้กำลังใจ

 
At 8:39 PM, Blogger hospitalgirl said...

ขอบคุณด้วยค่ะคุณ lonelyheart ..งานก็เอาไว้ที่ทำงานค่ะ เลิกงานแล้ว ไม่เก็บไปคิดต่อ...แต่กลัวค่ะ ก่อนมาทำงานจะมานั่งคิดว่า 'วันนี้จะเจออะไรอีกน๊า' เฮ้อ!!

 

Post a Comment

<< Home