Wednesday, July 19, 2006

..เส้นทางชีวิต..


ช่วงนี้ยอมรับว่าทำงานหนักพอสมควร

สาเหตุประการแรกก็คือ ตามสภาวะอากาศ อากาศเปลี่ยนคนที่ภูมิต้านทานไม่ดี ร่างกายก็เจ็บป่วยง่ายเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ ดังที่เคยเล่าไปแล้ว เมื่อวัน สองวันก่อน ด้วยเหตุนี้ทำให้งานหนักตามไปด้วย จากปกติที่เคยทำงาน 9ชั่วโมง ก็ต้องเพิ่มเป็น 17ชั่วโมง เป็นอย่างนี้ หลายๆวันในรอบหนึ่งเดือน

ประการที่สอง คือ ไม่เฉพาะแค่งานทางด้านคลินิคเท่านั้น ยังต้องดูแลน้องๆ ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ที่ว่าใหม่เนี่ย คือใหม่ซิงๆ ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลมาก่อน พูดง่ายๆว่า เป็นพี่เลี้ยงของเด็กจบใหม่นั่นเอง ทางองค์การที่ดิฉันทำงานอยู่จะใช้เวลาประเมินการทำงานของพนักงานประมาณ 3เดือน (ที่เราเรียกกันอย่างชินปากว่า ช่วงโปร ฯ : Probation นั่นแหละ)

ดังนั้นช่วงสามเดือนแรกนี้แหละที่พวกเราต้องดูทั้งคนไข้ และดูแลน้องๆ เรียกได้ว่า เดินตามกันแทบทุกฝีก้าวเห็นจะได้ ยะงปล่อยไม่ได้แน่นอนจนกว่าจะพ้นโปรค่ะ เพราะงานของพวกเรามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายอยู่ทุกนาที อ่านแค่นี้เหนื่อยแทนกันบ้างไหมคะ

ยังค่ะ ยังไม่พอ ดิฉันเคยเกริ่นๆ เรื่องโอนย้ายไปอยู่หน่วยอื่นที่ดูมีความก้าวหน้ากว่าที่เดิมเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่สามารถย้ายไปได้ ไม่ได้รับการอนุมัติจากต้นสังกัดเดิมนี่คะ จะย้ายไปได้อย่างไร

ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน อีกไม่กี่วันดิฉันก็จะไม่ได้อยู่ดูแลคนไข้อีกต่อไปแล้ว เป็นคุณจะทำอย่างไรคะ เมื่อมีโอกาสเข้ามาหา คุณจะคว้าไว้มั้ย เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนดิฉันนั่งกลุ้มใจอยู่ว่า จะเลือกเส้นทางไหนดี ในเมื่อมีหนทาง 3 ทางเลือกมาให้เลือก ทางเลือกแรกได้แก่ ทำงานที่เดิม อยู่กับงานที่ตัวเองชำนาญแล้ว ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก (แต่ตัวเองก็ต้องอดทนและบ่นเรื่องเดิมๆ อยู่เรื่อยไป)

หนทางที่สอง ก็คืองานที่ตัวเองทำได้ รับผิดชอบมากขึ้นมากๆ เป็นงานที่ต้องไปทำตามคำสั่งของผู้บริหารระดับสูง งานนี้ก็เหมือนเป็นงานที่ต้องสานต่อความรู้เดิมที่มีอยู่บ้าง นั่น ส่วนหนทางที่สาม เป็นงานคุณภาพซึ่งไม่ได้อยู่หน้างานบริการเลย แต่ต้องควบคุมดูแลด้านคุณภาพการบริการทางคลินิค

ดูแล้วยังไงๆ ก็ต้องพบกับงานหนักอยู่แล้ว

พอจะเจอกับภาระที่หนักอึ้ง ดิฉันก็นึกถึงวันหยุดสี่วันที่ผ่านมา ดิฉันกลับไปหาป่าป๊า หม่าม๊า วันหนึ่งน้องสาวของดิฉันพาป่าป๊าไปออกรอบที่สนามกอล์ฟที่เขื่อนสิริกิติ์ ดิฉันกับคนใกล้ตัวก็พาแม่ ไปเที่ยวดูทิวทัศน์บนสันเขื่อน อากาศที่นั่นดีมากๆ อีกวันหนึ่งก็ไปเยี่ยมคุณลุงหมอที่เป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ (ท่านเห็นดิฉันมาตั้งแต่ดิฉันยังตัวเล็กๆอยู่เลย) เดินเที่ยวในบริเวณบ้านที่เป็นบ้านสวน มีลำธารไหลรอบๆบริเวณสวน มีความสุขชะมัด

ช่วงสี่วัน เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ชีวิตเรียบๆ เดินทางไปที่ไหนรถก็ไม่ติด อากาศดี รอบๆตัวบรรยากาศไม่เครียดเหมือนบรรยากาศรอบตัวในปัจจุบัน ผู้คนรอบตัวไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก ส่วนใหญ่ มักจะพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่กัน

เมื่อได้พบได้เจอกับบรรยากาศแบบที่เล่าให้ฟัง เทียบกับบรรยากาศรอบตัวที่เราได้พบได้เจอเป็นปกติ รวมถึงหน้าที่การงาน ที่จะต้องปฏิบัติในอนาคตข้างหน้า รวมถึงอนาคตอันใกล้ด้วย มันก็ต้องมีการเลือกแน่นอน

ชั่งใจอยู่ระยะหนึ่งค่ะ ว่าเลือกทางไหนดี เพราะ หนทางแรกที่เล่าไปข้างต้นคงไม่แล้ว แต่หนทางที่สองกับสามนี่งานใหญ่สำคัญมากๆเลย แต่ก็ต้องทำ จริงๆ อยู่ที่ตัวเองที่จะต้องตัดสินใจ ทายสิคะว่าดิฉันเลือกทางไหน บอกให้ก็ได้ค่ะ ดิฉันเลือกทางที่สองกับทางที่สาม โดยเลือกไปปรึกษาผู้บังคับบัญชาคนใหม่ สรุปแล้วไปทำงานที่สองระยะหนึ่ง ให้ระบบเข้าที่เข้าทางก่อน แล้วกลับมาทำงานที่สาม วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันยินดีมากๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เส้นทางนี้คงเลือกเดินในระยะเวลาไม่กี่ปี หนทางที่สงบและไม่วุ่นวายคงเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้เวลาที่แน่นอนว่าเมื่อไร

ดิฉันว่าท้ายที่สุดคนเราก็ต้องเลือกทางที่สงบที่สุดอยู่แล้ว จริงมั้ยคะ


( ภาพ : Summer Friends โดย Crookston Nancy Seamons )

8 Comments:

At 8:06 AM, Blogger someone said...

ก็จริงอย่างที่คุณเมย์บอก "ท้ายที่สุดคนเราก็ต้องเลือกทางที่สงบที่สุด" แต่บางทีเราก็ไม่ได้อยากเลือกที่จะไปที่สงบ แต่สุดท้ายของชีวิตก็คงจะอยู่ในที่สงบเองแหละเนอะ .. เป็นกำลังใจให้ทำในสิ่งที่เลือก แล้วทำให้ได้ดีที่สุด การเปลี่ยนแปลงสถานะและหน้าที่คงจะต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอยู่บ้าง แต่ก็คงจะไม่เกินความสามารถของคุณแน่นอน ...ว๊า จะไปสายวิชาการซะล่ะ ระวังจะแก่ไปกว่าเดิมนะคุณ อิอิ :-)

 
At 1:45 PM, Blogger hospitalgirl said...

แหม คุณ someone. จริงๆเป็นอย่างที่คุณว่าแหละ..ที่ๆสงบ..ที่ชอบๆ 5 5 5 // ส่วนการปรับตัว ก็คงต้องเป็นไปตามสถานการณ์ค่ะ

 
At 10:28 PM, Anonymous Anonymous said...

จริงค่ะ..
สงบ..นี้..คือ..ปรารถนา..ของชีวิต..

ใครๆ ก็อยากมีความสุข..กับธรรมชาติ..

เฮ้อ..
ฟังพี่เมย์เล่า(ตอนไปเที่ยวกะคุณพ่อคุณแม่)..แล้วอิจฉาเลย..>_<

พี่เมย์ค่ะ..หนูมีเรื่องจะปรึกษา
พี่เมย์พอจะทราบเกี่ยวกับโรครูมาตอยด์ บ้างรึป่าวค่ะ..ตอนนี้หนูกำลัง..โดนสงสัยว่าเป็นโรคนี้นะคะ..T_T

คิดถึงพี่เมย์..และพี่ someone นะคะ

 
At 7:53 AM, Anonymous Anonymous said...

ว้าว!! น้องปัทม์มาแว้วววว หายไปเสียนาน พี่ก็คิดถึงน้องเหมือนกันนะเนี่ย // ไม่สบายเหรอจ๊ะ เดี๋ยวพี่เมย์คงมาตอบเนอะ รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ

 
At 2:34 PM, Blogger hospitalgirl said...

น้องปัทม์คะ..ถ้าสงสัยต้องไปให้คุณหมอดูอาการ..เค้าจะซักประวัติ ร่วมกับเจาะเลือดค่ะ ถึงจะวินิจฉัยได้..บางทีโรคนี้ไม่ได้มาตัวเดียว บางทีมันมาเป็นเครือญาติค่ะ..เป็นกลุ่มอาการ...ควรจะไปหาหมอนะคะ :)

 
At 2:36 PM, Blogger hospitalgirl said...

คุณ someone..ก็เช่นกัน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

 
At 4:08 PM, Anonymous Anonymous said...

จ้า :-) คุณแม่ เอ้ย!! คุณเมย์ จะพยายามจ๊ะ ช่วงนี้เขายิ่งรณรงค์ เลิกเหล้า เลิกจนอยู่ด้วย อิอิ คิด (เอาเอง) ว่าเป็นห่วง เอิ๊ก เอิ๊ก ^__^

 
At 12:29 PM, Blogger hospitalgirl said...

5 5 5 คุณซัมวัน..ความพยายามอยู่ที่ไหน..ความพยายามอยู่ที่นั่น เอิ้กๆๆๆๆ...ใช้เวลาหน่อย แต่ก็เอาใจช่วยนะคะ

 

Post a Comment

<< Home