Friday, August 18, 2006

..สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็น..




เมื่อวานพี่ที่ร่วมงานกันในโปรเจคบอกดิฉันว่า เวลาดิฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกมานี่ดูเป็นคนที่เรียบร้อยดีนะ ..

ด้วยความที่ในกลุ่มเพื่อนร่วมงานเป็นพวกมึงมาพาโวย การที่เรียก แก ฉัน (บางครั้งบางคราเวลาพูดเล่น ก็หลุดภาษาพ่อขุนออกมาบ้าง) ก็เป็นเรื่องธรรมดา ดิฉันอยู่ในกลุ่มนี้จึงต้องทำตัวตามน้ำค่ะ โบราณท่านสอนไว้ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม” เมื่อดิฉันยึดคติโบราณ คตินี้ ดิฉันจำเป็นต้องปฏิบัติตัวให้แปรผันตามค่ะ

พี่คนที่ทักดิฉันบอกว่า ดิฉันดูเรียบร้อย แต่เพื่อนๆในกลุ่มอีก 4-5คน ส่งเสียงโห่มา เมื่อได้ยินพี่คนนี้พูด ต่างคนก็ต่างบอกว่า ไม่จริงๆ (มัน) นี่แหละ เป็นหัวโจกเลย ดูสิคะ เหล่าเพื่อนๆ ที่น่ารัก

สัปดาห์ที่แล้ว มีการอบรมมาตรฐานการบริการ ซึ่งดิฉันเข้าอบรมรุ่นเดียวกับอดีตหัวหน้า (ตั้งสองท่านแน่ะ ) พี่ๆทั้งสองท่านยังถามดิฉันเลยว่า มาอยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนร่วมงานพวกนี้ได้อย่างไร เพราะกลุ่มนี้มักจะแซวอาจารย์ที่มาอบรมให้ เพราะดิฉันออกจะเรียบร้อย เหล่าเพื่อนๆ รีบบอกเลยค่ะ ว่าดิฉันเป็นหัวโจกประจำห้อง

หลายวันก่อน ตอนที่โอนย้ายจากที่ทำงานเดิมมาอยู่ที่ใหม่ เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งโอนย้ายมาพร้อมกัน ถามว่า “แกไปอยู่กับกลุ่มนี้ แล้วแกจะทันพวกเขาเหรอ?” ดิฉันเล่าให้เพื่อนกลุ่มถูกที่พาดพิงฟัง เพื่อนกลุ่มนี้ก็พูดเหมือนเดิม และบอกว่าท่าทางดิฉันจะเก็บกดจากแผนกเดิม และนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของดิฉัน

มีน้องคนหนึ่งที่รู้จักในบล็อค (ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ) บอกว่า ดิฉันท่าทางน่าจะร้ายกาจน่าดู น่าสงสารคนใกล้ตัวที่ต้องมาคบกับคนอย่างดิฉัน ดิฉันก็ตอบว่าใครมายังไงดิฉันก็ไปอย่างนั้น ใครที่เรียบร้อยมา ดิฉันก็เรียบร้อยกลับไป และบอกกลับไปว่า การที่เราวิจารณ์คนอื่น เราต้องหันกลับมามองตัวเองก่อนว่าตัวเราปฏิบัติยังไง กับคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ประโยคนี้อาจจะทำให้ ผู้ฟังไม่ค่อยพอใจนัก และดิฉันซึ่งเป็นผู้พูดเอง ก็ไม่ค่อยพอใจประเด็นที่สนทนากันเท่าไรนัก ในวันนั้น

จริงๆ ตัวเราจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าตัวเราเองย่อมตอบได้ และผู้ที่อยู่รอบตัวเราและมีปฏิสัมพันธ์กับเราเป็นปกติวิสัย ก็ย่อมตอบได้เช่นกัน

โดยปกติแล้ว มนุษย์เรามักจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานที่จะตัดสินหรือวิจารณ์คนอื่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ตัวดิฉันเอง ซึ่งดิฉันเองก็ทำบ่อยเหมือนกัน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ค่อยถูกต้องนัก อันที่จริงแล้วทำใจให้เป็นกลางก่อนดีกว่าที่จะตัดสินคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอะเพิ่งเจอ

ให้ถือคติ และบอกกับตัวก่อนดีกว่าว่า “สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น ”



( ภาพ : Jones Farm โดย Michale C. Dudash )

4 Comments:

At 5:43 PM, Blogger someone said...

แน่นอนจ๊ะ "สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น" สิ่งที่เป็นอยู่ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นกันโดยผิวเผินก็ได้ ..เอ ชักงง อิอิ...
ไม่งั้นจะมีพระเอกในเรื่อง สังข์ทอง ให้เราอ่านได้ไง เนอะ

 
At 3:03 PM, Blogger hospitalgirl said...

คิดไปถึงสังข์ทองเลยเหรอคุณ someone..บังเอิญจัง เมื่อวานนี้ ไปอุทยาน ร.2 มา มีรูปปั้นสังข์ทองตอนที่เป็นเจ้าเงาะด้วย..

 
At 4:14 PM, Anonymous Anonymous said...

อ้าว!! ก็คนมันคิดลึก ...แบบว่าเป็นไปตามประสบการณ์ อิอิ :-) เอ! ไหง วันนี้ทำงานเหรอ น่าจะเป็นวันหยุดนา ...หรือ OT... ยังไงก็มีความสุขน๊า ได้ไปเที่ยวพักผ่อน เติมไฟสู้ต่อจ๊ะ

 
At 8:47 AM, Blogger hospitalgirl said...

ขอบคุณค่ะคุณ someone..ไฟมอดแล้ว..5 5 5

 

Post a Comment

<< Home