Friday, September 01, 2006

..เพื่อน..



เพื่อนมีความหมายต่อชีวิตของคุณมากน้อยขนาดไหน..

เป็นที่ทราบดีอยู่ว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ทั้งชีวิตไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ ทุกคนย่อมเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องในแต่ช่วงของชีวิตกันทั้งนั้น
เพื่อนในชีวิตของแต่ละคน มีหลายประเภท ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนสมัยอนุบาล เพื่อนสมัยประถมมัธยม เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเพื่อนที่จัดประเภทไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะจัดเข้าอยู่ในประเภทไหน ไปๆมาๆ ก็จัดเข้ากลุ่ม เพื่อนร่วมโลกจนได้


จำได้ไหมว่า ยิ่งอายุน้อยมากเท่าไร การรับรู้ ประสบการณ์การผจญโลกก็น้อยลงเท่านั้น ในวัยนี้ความจริงใจจะมีให้กันมากที่สุด แต่ยิ่งอายุมากขึ้น
ความจริงใจมักจะน้อยลงๆ บางคนคบกันเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น หาความจริงใจได้น้อย ไม่เหมือนเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กๆ


มีใครที่ยังติดต่อกับเพื่อน สมัยอนุบาลอยู่บ้าง ถ้ามีก็คงมีอยู่น้อยมาก ดิฉันยอมรับว่าไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนสมัยอนุบาล และประถมนานมาก ถึงแม้แต่
เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยก็เถอะ นานๆได้คุยกันที เข้าใจว่าแต่ละคนต่างก็มีภารกิจที่ต้องทำ ไม่มีเวลาที่จะมาพบหน้าค่าตากัน บางครั้งมานั่งคิดว่าคนที่
เราเพิ่งรู้จัก เริ่มคบหาสมาคมนั้น ใช่เพื่อนของเราหรือไม่ อาจจะเป็นแค่ คนรู้จักเท่านั้น ชีวิตที่ผ่านไปทุกวันๆ นับวันจะมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น แต่เพื่อนของเรา
จะน้อยลงๆ


เพื่อนที่ทำงานร่วมกันมาก็เช่นกัน มีโอกาสทำงานร่วมกัน ร่วมกิจกรรมกัน อยู่ร่วมกันในที่ทำงาน เหมือนพี่เหมือนน้อง แต่พอเวลาผ่านไป ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่ได้ทำงานร่วมกันอีก บางครั้งเจอะเจอกันโดยบังเอิญ แปลกดี ปฏิสัมพันธ์ไม่ยักกะเหมือนครั้งที่ร่วมงานกัน นับวันยิ่งกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
การเผชิญหน้ากันครั้งนั้น ทำให้ตัวเรารู้สึกไม่ดี เคยมองย้อนกลับมามองตัวเองว่า ทำผิดอะไรที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าว คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ได้แต่ปลง


บอกตัวเองแต่เพียงว่า จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ขอเราอย่าทำร้ายเพื่อนก็พอ

( ภาพ : Innocence โดย Michael C. Dudash )

6 Comments:

At 7:54 PM, Anonymous Anonymous said...

เป็นคนหนึ่งที่ยังคงติดต่อกับเพื่อนๆ ตั้งแต่สมัยอนุบาล ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยค่ะ นัดทานข้าวกันเสมอๆ ที่นัดเจอกันบ่อยมากก็เป็นเพื่อนกลุ่มมัธยมค่ะ เพื่อนกลุ่มอนุบาล-ประถมและเพื่อนกลุ่มมหาวิทยาลัยจะรวมกลุ่มเจอกันอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้าเจอกันแบบไม่รวมกลุ่มใหญ่ก็จะเจอกันบ่อยมากขึ้นไปอีกค่ะ

น่าแปลกใจและสุขใจอย่างประหลาด ทุกครั้งเมื่อได้เจอเพื่อนๆ (แม้จะห่างหายกันไปบ้าง)เรามักจะคุยกันได้อย่างสนิทใจและสนิทสนมเหมือนตอนเรียนด้วยกันค่ะ

เพื่อนที่ทำงานจะให้ความรู้สึกอีกแบบค่ะ แต่เราก็จริงใจให้ทุกคนค่ะ

 
At 7:58 PM, Blogger hospitalgirl said...

จริงค่ะคุณ Dottie..เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ เวลานัดมาสังสราค์กันที จะได้อรรถรสที่ดีเยี่ยมเลย 5 5 5.. เพื่อนที่ทำงาน เมย์ก็จริงใจให้ เหมือนกัน แต่มาสะท้อนใจ ตรงที่ เวลาผ่านไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนน่ะสิคะ.ทำไงได้ ได้แต่ปลงแต่เพียงสถานเดียว :) ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมนะคะ :)

 
At 4:01 PM, Blogger PaTTaMONE said...

ส่วนหนู..เป็นอีกหนึ่งคนที่ให้ความสำคัญกะเพื่อนเก่า..และพยาม KEEP IN TOUCH กะ..เพื่อนเพื่อน..

ทุกวันนี้..เพื่อนมอต้น..และมอปลาย..ประถมบางส่วน..อนุบาลบางคน..ก็ยังติดต่อกันคะ..

ถ้าเป็นเพื่อน มอต้น กะ มอปลาย เรามีอีเมลห้องด้วย..เลยได้ส่งข่าวคราวกัน..

เวลากลับไปเจอเพื่อนเก่า..จะรู้สึกอบอุ่น..และปลอดภัยคะ..และคุยกันเหมือนเด็กเด็ก..คิดถึงวันวานร่วมกัน..แชร์เรื่องราวในชีวิตกัน..อบอุ่นคะ..

ส่วนเพื่อนร่วมงาน..ตอนนี้..หนูยังไม่มีคะ..อิอิ..เพราะตอนนี้สถานภาพ..บัณฑิตจบใหม่..ยังไม่หางานทำคะ..อิอิ..

สุขสันต์วันอังคารคะ..พี่เมย์..พี่dottie..และพี่ Someone (คาดว่า..น่าจะเข้ามา..^-^)

 
At 8:36 AM, Anonymous Anonymous said...

เพื่อนมีหลายประเภทเนอะ คุณเมย์ เพื่อนกินมักจะมีเยอะสุด เรียกเบาๆ ยังมากันเต็มเลย อิอิ...เพื่อนที่รู้ใจมีน้อยแต่ได้คุณภาพ มีแค่คนเดียวก็เหลือจะพอแล้วเนอะ ...
เรามีเพื่อนในทุกช่วงเวลาของชีวิตอยู่แล้ว ความสนิทสนม-ความห่างเหินก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรของมัน ขอแค่มีความจริงใจในการคบหาก็เพียงพอแล้ว...
จะบอกกับเพื่อนๆ เสมอ ไม่ต้องเกรงใจถ้ามีปัญหาอะไร ติดต่อมาได้เลย เพราะถ้าเพื่อนเงียบหายไปแสดงว่าเพื่อนสบายดีเราก็สบายใจด้วย ถ้าติดต่อมาเราก็ยินดีที่เพื่อนนึกถึงเราเวลาที่เขาไม่สบายใจ
:-)
ฝากถึงน้องปัทม์ ไม่สบายหายหรือยัง? ดูแลสุขภาพก่อนอย่างอื่นนะ สุขภาพดีก็ทำให้เรามีโอกาสได้ทำอะไรดีๆ อีกเยอะแยะ ^__^

 
At 5:25 PM, Blogger hospitalgirl said...

สมัยเด็กๆ..เพื่อนก็คือเพื่อนจริงค่ะน้องปัทม์ ไม่มีลับลมคมนัยต่อกัน ไม่มีการใส่หน้ากาก เข้าหากัน แต่พอเราเรียนรู้โลกมากขึ้น สังคมกว้างขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่หน้ากาก ให้หนาขึ้นตามค่ะ มันเป็นกลไกของสังคมที่เราต้องปรับตัวให้เป็นไปตามกลไกนี้ ทำใจค่ะ

 
At 5:25 PM, Blogger hospitalgirl said...

เห็นด้วยนะคะคุณ someone..กับความคิดเห็นทุกบรรทัด :)

 

Post a Comment

<< Home