Monday, May 22, 2006

..เมื่อถึงวันนั้น..


คุณปู่ของดิฉันกลัวการอยู่เพียงลำพัง ..

ท่านไม่ได้อยู่บ้านแต่เพียงลำพังค่ะ มีลูกและหลานคอยดูแลอยู่เพียงแต่ ไม่ได้ดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เนื่องจากภาระทางด้านการงาน ดังนั้นในช่วงกลางวันของวันธรรมดา ไม่มีลูกและหลานอยู่ที่บ้าน แต่ละคนจะกลับมาในเวลาเย็น และจะพูดคุยกับท่านเหมือนปกติ ที่บอกว่าช่วงกลางวันไม่มีลูกและหลานๆอยู่ที่บ้าน ไม่ได้หมายความว่าทิ้งคนชราให้อยู่ตามลำพัง ทว่ามีแม่บ้านคอยดูแลอยู่ในเวลานั้น แต่ท่านก็หาทางที่จะออกไปเปิดหูเปิดตานอกรั้วบ้านเสมอ (เพื่อหาคนคุยด้วย ...อันตรายเหมือนกันนะคะ เพราะคนแก่มักจะไว้ใจคนง่ายมากๆ)

ช่วงที่ท่านไม่สบาย เป็นเวลาที่ลูกๆหลานๆ เข้ามาดูแลท่านอย่างใกล้ชิดกว่าเวลาปกติ แต่ท่านมักจะบอกว่า ลูกๆหลานๆทิ้งท่าน ไม่ดูแลท่าน หนำซ้ำกลับบอกว่าคนอื่นนั้นดีกว่าลูกหลานของตัวเอง บางคนนั้นรู้จักกันเพียง วันสองวันท่านก็เทิดทูนความดีของเขาเสียแล้ว แรกๆทุกคนเครียดค่ะ จนภาวะเครียดที่ว่านั้นเริ่มอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “เครียดปกติ” เพราะ ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร แต่ไปๆมาๆ ก็ปรึกษากันว่า ดูแลท่านให้ดีเท่าที่พวกเราจะทำได้

พวกเรามานั่งวิเคราะห์กันว่า นับตั้งแต่คุณย่าเสีย และญาติสนิทล้มหายตายจาก คุณปู่กลัวมากในเรื่องการหมดลมหายใจ ดิฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าคุณปู่ท่านอายุ 84 แล้ว แต่สภาพที่พวกเราเห็น ยังดูแข็งแรงเหมือนคนที่อายุ 60 กว่าปี ทุกวันนี้ท่านยังบำรุงสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารเสริมสารพัด ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง ที่ดิฉันทราบก็เห็นจะเป็น นมผึ้งนี่แหละค่ะ ท่านชอบพูดชอบคุย คุยไปได้เรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่งคุณอาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า วันนั้นเป็นวันหยุดของคุณอา คุณปู่ท่านนั่งพูดนั่งคุยกับคุณอาตั้งแต่ 9 โมงยันสี่ทุ่มค่ะ มีสารพัดเรื่อง หลายๆเรื่องที่ลองมานั่งวิเคราะห์กันดูจะเห็นว่าคุณปู่ท่านไม่ปลงกับสังขาร

หลายวันก่อนดิฉันนั่งคุยกับคนใกล้ตัวเรื่องพวกนี้ และก็พบว่า คุณแม่ของคนใกล้ตัวก็ยังไม่ปลงในเรื่อง อนิจจังเหมือนกัน พวกเราพุดคุยกันในประเด็นนี้อยู่พักใหญ่ แล้วพวกเราก็มีความคิดตรงกันว่า พวกเราไม่เคยกลัวในเรื่องของความตาย

ที่ดิฉันบอกว่าไม่กลัวตาย ไม่ได้บอกว่าอยากตายนะคะ คนละความหมายกัน ไม่กลัวตาย หมายความว่า หากมีเหตุอันใดก็ตามที่ทำให้ตัวเราหมดลมหายใจ ดิฉันคิดว่าตัวเองยอมรับได้ คงจากโลกนี้ไปด้วยความสงบค่ะ คงไม่ต้องการยืดชีวิตไว้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นอนิจจัง ชิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ดังนั้นดิฉันจึงย้ำกับตัวเองเสมอว่า ทำชีวิตในวันนี้ให้มีความสุข ทำดีต่อตัวเองและผู้อื่น อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขา

ทำไมคนเราจึงได้กลัวนักกลัวหนากับความตาย กลัวเจ็บ หรือว่ากลัวชีวิตหลังความตาย ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ว่าสวรรค์หรือนรกที่เป็นรูปธรรมมีจริงหรือไม่ บางคนก็เปรียบเปรยว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ พุทธศาสนิกชนเชื่อในเรื่อง กรรม และแน่นอน ชีวิตหลังความตายจะพูดถึงเรื่องนรกและสวรรค์ และคริสตศาสนิกชนก็เชื่อเรื่องแผ่นดินสวรรค์

ดิฉันว่าที่ดิฉันไม่กลัวตาย ก็เพราะ คิดดีทำดี มั้งคะ เมื่อจิตใจดีแล้ว ไม่คิดที่จะเบียดเบียนใคร นี่แหละมั้ง ที่ทำให้เราไม่กลัวที่จะพบกับวันที่จะหมดลมหายใจ เมื่อวันนั้นมาถึง ดิฉันคิดว่าดิฉันยอมรับมันได้ค่ะ

แล้วคุณล่ะคะ กลัวตายกันมั้ย? ..


( ภาพ : Summer Breeze โดย Zolan Richard )

2 Comments:

At 10:46 AM, Anonymous Anonymous said...

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฎจักรตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในโลกเพื่อสร้างสมดุล ถ้าไม่มีการตายเกิดขึ้นเลยในโลกนี้ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในวันหนึ่งเราทุกคนก็คงจะต้องคืนลมหายใจนี้ให้กับธรรมชาติไป ถามว่ากลัวมั้ย...ไม่เคยกลัวเลย และก็คิดว่าคุ้มแล้วที่เกิดมาในชีวิตนี้...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็พร้อมทำใจ ^__^ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทุกๆ วัน

 
At 3:40 AM, Blogger hospitalgirl said...

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะคุณ someone..กฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่มีใครที่อยู่ยงคงกระพันได้..อยู่อย่างมีความสุขโดยไม่สร้างความทุกข์ให้คนอื่นดีกว่า เนาะ :)

 

Post a Comment

<< Home