Tuesday, May 16, 2006

..เที่ยวเขาค้อ ตอนจบ..

เล่าเรื่องเขาค้อต่อดีกว่าค่ะ ..

หลังจากที่ได้ชมความงามของพระจันทร์ในคืนเดือนหงายไปแล้ว ก็เข้านอนด้วยความสบายใจ รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาชมพระอาทิตย์รุ่งอรุณ เสียดายไม่ทันได้เห็น ตื่นหกโมงครึ่ง พระอาทิตย์ไม่รอดิฉันแล้วค่ะ

กระนั้นก็ตามพวกเราออกไปเดินชมธรรมชาติดีกว่า เดินไปรอบๆรีสอร์ทเหยียบพื้นหญ้าบ้าง แค่มองน้ำค้างยามเช้าบนยอดหญ้า ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั้งวี่ทั้งวันแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ชมความน่ารักของบ้านแต่ละหลัง บางหลังมีระเบียงยื่นออกไป ใกล้หน้าผา บ้านบางหลังถูกดัดแปลง ให้มีความคล้ายกับเสลี่ยงที่เคยใช้เทียมเกวียนในสมัยโบราณ บ้านพักในลักษณะนี้ตั้งอยู่บริเวณนั้นหลายหลัง ดิฉันคิดว่าเจ้าของรีสอร์ทคงจะดัดแปลงให้คล้ายกับแคมป์ไฟแน่ๆ ดิฉันคิดว่าบริเวณนี้น่าจะเหมาะกับแขกหนุ่มๆสาวๆ ที่มากันเป็นกลุ่มและชอบนอนเต้นท์

พนักงานที่รีสอร์ทบอกว่า อากาศที่นี่เย็นสบายทั้งปี เพราะอยู่ในหุบเขา ดิฉันบอกว่า ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเยือนอีกแน่นอน (จริงๆอยากย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ )

สายๆแล้วหลังจากรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว (อ้อ! ลืมบอกไปตั้งแต่ตอนแรกว่า ห้องอาหารของที่นี่ชื่อ “ห้องอาหารแคมป์สน” ) เราเริ่มดูแผนที่ว่าควรจะไปที่ไหนกันต่อ และแล้วก็ได้ข้อตกลงกันว่า ไปเที่ยวบนยอดเขาค้อดีกว่า หนทางที่เดินทางจะเป็นทางขึ้นเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ระยะทางจากรีสอร์ทไปถึงที่นั่น ๔๕ กิโลเมตรโดยประมาณ ขับรถไปเรื่อยๆ บางช่วงถนนที่สามารถใช้ความเร็วที่ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เลี้ยวไม่ทัน ต้องหันหัวรถกลับไปอีกครั้งก็มี

พวกเราเดินทางขึ้นไปถึงที่หมายคือ บนยอดเขาค้อ ซึ่งที่นั่นมีอนุสาวรีย์ของทหารและผู้เสียสละในสมรภูมิรบบนเขาค้อในสมัยอดีต ยังมีพิพิธภัณฑ์อาวุธ ให้ได้ชมเพื่อประดับความรู้กันด้วย จากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปยังพระตำหนักเขาค้อ มองไปจากจุดชมวิว เห็นทะเลภูเขาสุดลูกหูลูกตา อากาศในแต่ละแห่งที่ไปมีลมเย็นๆพัดมาให้ชื่นใจ ถึงแม้จะมีแดดมาโลมเลียเป็นระยะๆ แต่แดดที่นั่นไม่ร้อนเท่าแดดในเมืองหลวง เอ!!หรือว่าดิฉันคิดไปเองนะ

ไม่น่าเชื่อว่าภูเขาที่สูงอย่างเขาค้อจะมีเสน่ห์และ ทำให้ดิฉันขึ้นมาเยือนได้ ยอดเขาที่สูงและชัน การขับรถต้องใช้เกียร์ ๑ ด้วยซ้ำ กระนั้นดิฉันก็ยังอาจหาญขับขึ้นไปที่นั่นจนได้

สมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราก็ลงมาจากยอดเขา ขณะนั้น ดูเหมือนเป็นเวลาที่เมฆสีเทาเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา ถึงเวลาที่ท้องเริ่มร้อง ดิฉันตัดสินใจไปรับประทานอาหารที่รีสอร์ทดีกว่า โชคดีค่ะ พอจอดรถแล้ว เดินขึ้นไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร เสียงกรุ้งๆ กริ้งๆ เริ่มมาแล้ว เหมือนส่งสัญญาณบอกว่าฝนกำลังจะตก ไม่น่าเชื่อ ฝนตกตอนที่เราเริ่มลงมือรับประทานอาหารมื้อกลางวันพอดี

ใช้เวลากับอาหารมื้อนั้นไม่นานนัก ได้เวลาฝนหยุดตก คนที่นั่นบอกว่า ฝนตกทุกวันเป็นแรมเดือนแล้ว แต่วันที่ดิฉันไปที่นั่นอากาศดีมาก ฝนตกแต่ละครั้งไม่นานนัก และพวกเราก็ไม่เคยเปียกฝนสักครั้ง ดังนั้นถือเป็นความโชคดีเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจ กับการไปพักผ่อนในครั้งนี้

เย็นวันนั้นขอถือโอกาสโอกาสเดินสำรวจ และซึมซับความงามของหุบเขาแห่งนี้ไว้ในความทรงจำอีกสักครั้ง หนทางที่เดินไปถึงแม้จะเป็นทางขึ้น ทางลงภูเขาก็ตาม เส้นทางที่เดินอาจจะทำให้เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย การเดินช้าๆ กลับทำให้เราได้สัมผัสความงามของธรรมชาติได้เต็มที่

รุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ถึงเวลาที่ต้องอำลาเขาค้อ และกลับไปสู่โลกแห่งความจริงๆกันเสียที สี่ชั่วโมงกับการเดินทางกลับมานั้น ไม่ได้เสียเวลามากเลย เวลาไม่นานนัก ทำให้ได้ดิฉันเปรียบเทียบสถานที่สองแห่งนี้ นั่นคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษซึ่งเป็นความจริงที่เราได้สัมผัสอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นโลกที่เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ มนต์เสน่ห์ของเขาค้อยังคงตราตรึงอยู่ในใจของดิฉัน และรอวันที่จะกลับเข้าไปเยือนอีกครั้งหนึ่ง

หวังว่า..คงมีสักวัน ..


( ภาพ : Brothers โดย Zolan Richard )

6 Comments:

At 1:44 PM, Anonymous Anonymous said...

อิจฉาจังเลย.... ขับรถเหนื่อยมั๊ยจ๊ะ เที่ยวหน้ารับสมัครพนักงานขับรถมั้ย จะไปสมัคร :-) อิอิ
ฝนเริ่มตกในหลายๆ พื้นที่แล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อวาน ก็ออกไปทางปราจีน/นครนายก....และอีกหลายที่ที่ผ่านมา อากาศดีมากเลยเนอะ ป่า-เขาเขียวขจี สบายตาจริงๆ :-) แต่เสียดายไปทำงาน...ไม่ได้ไปเที่ยว :-(

 
At 3:25 AM, Blogger hospitalgirl said...

เห็นด้วยค่ะคุณ someone..ช่วงนี้ป่าเขียวขจี มองแล้ว สบายตาเป็นที่สุด ..แต่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปมองอีก..เฮ้อ!! ตอนนี้เห็นแต่ ป่าคอนกรีตค่ะคุณ

 
At 11:22 AM, Anonymous Anonymous said...

น่าน่ะ...ทำงาน ทำงาน ทำงาน... มีไฟเพิ่มจากการพักผ่อน ชาร์ตแบตฯ มาจนเต็มแล้ว ถึงเวลางานแล้วหล่ะ
อาทิตย์ที่ผ่านมาก็หนีไปเติมไฟให้ตัวเองมา จะได้มีแรงสู้ต่อ นะ สู้ สู้ ...เพื่อการเที่ยวครั้งต่อไป ^__^ เป็นกำลังใจในการทำงานให้เหมือนกันนะ

 
At 3:46 AM, Blogger hospitalgirl said...

มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนล่ะค่ะคุณ someone ..ชีวิตต้องทำงาน ขี้เกียจยังไงก็ต้องทำ ดีกว่าไม่มีงานทำ..เนาะ :)

 
At 8:14 AM, Anonymous Anonymous said...

^__________^

 
At 7:48 PM, Blogger hospitalgirl said...

สวัสดีค่ะคุณ แบตหมด เอิ้กๆๆๆ..ตกลงจะใช้ชื่อนี้จริงๆเหรอ?

 

Post a Comment

<< Home