Saturday, September 23, 2006

..ร่วมมือร่วมใจ..



ช่วงนี้ได้เรียนรู้อะไรต่อมิะไรจากการทำงานเยอะพอสมควร

ถึงแม้จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับงาน การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เป็นธรรมดาของชีวิตสำหรับช่วงปรับตัว บางคนอาจจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ บางคนเป็นเดือน และบางคนก็หลายเดือน หรืออาจจะเป็นปีด้วยซ้ำ

การทำงานในทุกงาน ไม่มีงานไหนที่ราบรื่น หรือราบเรียบเรื่อยไป อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง ขอเพียงคนที่อยู่ในงานนั้นเข้มแข็งอดทนต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ถ้าไม่มีความอดทนก็ยากที่จะเผชิญกับมันได้

บุคคลที่อยู่ในงานถูกเลี้ยงหรือถูกหล่อหลอมมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ตั้งแต่เล็กจนโต ลักษณะนิสัยไม่มีทางที่จะเหมือนกันไปได้ คนหนึ่งอาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับอีกคนหนึ่งถ้าคิดว่ามันจำเป็นต้องปรับตัวเข้าหากัน ถ้าต่างคนต่างอยู่กับที่ ยึดถือแต่อีโก้ของตัวเองเป็นที่ตั้ง งานที่จำเป็นต้องทำร่วมกันคงไม่เป็นอันเดินหน้า

ในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาหลายปี จะเห็นได้ด้วยตัวเองว่า บางคนชอบทำตัวให้มีอำนาจมากกว่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว แต่ละคนก็เปรียบเหมือนฟันเฟืองที่อยู่ในเครื่องจักรเครื่องกลซึ่งต้องไปด้วยกัน ขาดอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเครื่องจักรก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ เหมือนนิ้วทั้ง10นิ้วที่เป็นส่วนประกอบในมือของเรา ขาดนิ้วใดนิ้วหนึ่งไปมือของเราก็ทำงานไม่ได้เหมือนชาวบ้านเขา

เราไม่เคยเห็นนิ้วโป้งแสดงอำนาจมากกว่านิ้วก้อย และนิ้วกลางก็คงไม่แสดงอำนาจเหนือนิ้วนางเช่นกัน การจะสร้างประติมากรรมอะไรขึ้นมาสักชิ้น ความสวยงามของประติมากรรมชิ้นนั้น ก็เป็นผลที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของนิ้วทั้งสิบ ฉันใดก็ฉันนั้นคุณค่าของทุกคนย่ิอมเท่ากันหมด ไม่มีใครที่สำคัญยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ผลสัมฤทธิ์ของงานจะออกมาได้อย่างไร ถ้าไม่ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน

Monday, September 04, 2006

..เรื่องกิน เรื่องใหญ่..


เย็นวันนี้พ่อโทรมาหา

พ่อบอกว่า ขณะนี้พ่อเป็นโรคเดียวกับปู่ ตอนนั้นดิฉันเพิ่งเลิกงานสมองกำลังมึนไปหมด ยิ่งเจอประโยคที่พ่อพูดก็ยิ่งงงว่าพ่อหมายถึงโรคอะไร เนื่องจากปู่เป็นหลายโรค ส่วนใหญ่จะมาจากอาการทางใจทั้งสิ้น ถามไปถามมาท่านเล่าว่าวันนี้ไปตรวจสุขภาพมา พบว่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ดิฉันถามว่าเท่าไร พ่อบอกว่า 140 mg/dl ( ค่าปกติ60-100 mg/dl)

ดิฉันถามต่อไปว่า แล้วหมอต้องให้กินยาหรือไม่ ท่านบอกว่าให้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดมา ( คุณหมอที่ให้ยามาก็เป็นเพื่อนของพ่อเอง ที่ช่วยดูแลรักษาสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวของเราตั้งแต่ดิฉันยังเด็กๆ ) ยังมีระดับกรดยูริคในเลือดที่สูงกว่าปกติ มิหนำซ้ำ โคเลสเตอรอลในเลือดของท่านก็ยังสูงอีกต่างหาก ค่อยยังชั่วที่ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ

โรคพวกนี้เวลามาเยือนคนเรา มันมักจะมาเป็นเครือญาติค่ะ เบาหวาน ความดัน แล้วตามมาด้วยโรคหัวใจ ซึ่งผู้คนในสมัยนี้เป็นโรคเหล่านี้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็น่าเป็นห่วงนะคะ ที่เป็นเช่นนี้ได้ ก็ต้องโทษพฤติกรรมการบริโภคของตัวเองนี่แหละ ดิฉันเลยแนะนำไปว่า ให้พ่อบริโภคอาหารจำพวกแป้งแต่น้อย ข้าวก็ให้เปลี่ยนมาทานข้าวกล้อง พยายยามเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เนื้อสัตว์ให้เปลี่ยนเป็นปลาแทน แล้วให้รับประทานผักมากๆ พูดง่ายนะคะ แต่ทำยากยิ่งช่วงแรกยิ่งลำบากถ้าจำกัดในเรื่องการกินเนี่ย แต่ถ้าทำได้ละก้อ มีผลดีมากๆ อาจจะลดการทานยาลงไปได้ จริงๆแล้วถ้าไม่จำเป็นหมอก็คงไม่อยากให้ทานยานักหรอกค่ะ

ดิฉันก็เหมือนกันค่ะ อธิบายให้คนอื่นฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่พอโดนเข้ากับตัวเอง ก็เอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน ปกติแล้ว ที่ทำงานมีการตรวจสุขภาพให้กับพนักงานทุกปี เมื่อปีที่แล้วโคเลสเตอรอลในเลือด ก็ปาไป 223 mg/dl ซึ่งค่าปกติ ไม่ควรจะเกิน 200 mg/dl สองสามปีที่แล้วตรวจแล้วค่าของมันไม่ถึง 150 mg/dl ด้วยซ้ำ แต่ปีที่แล้ว 200 กว่า จริงๆทางองค์กรก็ไม่ละเลยนะคะสำหรับสุขภาพของพนักงาน ดังนั้นดิฉันก็ต้องเข้ารับการอบรมในเรื่องการบริโภคภาคบังคับ ก่อนที่จะตรวจสุขภาพครั้งต่อไป (คืออีกไม่นานนับจากนึ้)

ดิฉันเป็นคนที่ชอบบริโภคอาหารพวกไข่ แล้วก็อาหารทะเลโดยเฉพาะไข่ปลาหมึกย่างนี่ชอบที่สุด รับประทานบ่อยมาก โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในอนาคต จริงๆแล้วอันตรายนะคะ โดยเฉพาะผลที่มีต่อหลอดเลือดของเรา ที่สำคัญก็คือ หลอดเลือดหัวใจ ผลที่ตามมาก็คืออวัยวะในร่างกายอีกหลายๆอวัยวะ

พฤติกรรมบริโภคชี้ชะตาชีวิตเราได้นะคะ อย่าประมาทเชียว


( ภาพ : At The End Of The Path โดย Curt Brigette )

Friday, September 01, 2006

..เพื่อน..



เพื่อนมีความหมายต่อชีวิตของคุณมากน้อยขนาดไหน..

เป็นที่ทราบดีอยู่ว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ทั้งชีวิตไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ ทุกคนย่อมเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องในแต่ช่วงของชีวิตกันทั้งนั้น
เพื่อนในชีวิตของแต่ละคน มีหลายประเภท ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนสมัยอนุบาล เพื่อนสมัยประถมมัธยม เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเพื่อนที่จัดประเภทไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะจัดเข้าอยู่ในประเภทไหน ไปๆมาๆ ก็จัดเข้ากลุ่ม เพื่อนร่วมโลกจนได้


จำได้ไหมว่า ยิ่งอายุน้อยมากเท่าไร การรับรู้ ประสบการณ์การผจญโลกก็น้อยลงเท่านั้น ในวัยนี้ความจริงใจจะมีให้กันมากที่สุด แต่ยิ่งอายุมากขึ้น
ความจริงใจมักจะน้อยลงๆ บางคนคบกันเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น หาความจริงใจได้น้อย ไม่เหมือนเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กๆ


มีใครที่ยังติดต่อกับเพื่อน สมัยอนุบาลอยู่บ้าง ถ้ามีก็คงมีอยู่น้อยมาก ดิฉันยอมรับว่าไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนสมัยอนุบาล และประถมนานมาก ถึงแม้แต่
เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยก็เถอะ นานๆได้คุยกันที เข้าใจว่าแต่ละคนต่างก็มีภารกิจที่ต้องทำ ไม่มีเวลาที่จะมาพบหน้าค่าตากัน บางครั้งมานั่งคิดว่าคนที่
เราเพิ่งรู้จัก เริ่มคบหาสมาคมนั้น ใช่เพื่อนของเราหรือไม่ อาจจะเป็นแค่ คนรู้จักเท่านั้น ชีวิตที่ผ่านไปทุกวันๆ นับวันจะมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น แต่เพื่อนของเรา
จะน้อยลงๆ


เพื่อนที่ทำงานร่วมกันมาก็เช่นกัน มีโอกาสทำงานร่วมกัน ร่วมกิจกรรมกัน อยู่ร่วมกันในที่ทำงาน เหมือนพี่เหมือนน้อง แต่พอเวลาผ่านไป ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่ได้ทำงานร่วมกันอีก บางครั้งเจอะเจอกันโดยบังเอิญ แปลกดี ปฏิสัมพันธ์ไม่ยักกะเหมือนครั้งที่ร่วมงานกัน นับวันยิ่งกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
การเผชิญหน้ากันครั้งนั้น ทำให้ตัวเรารู้สึกไม่ดี เคยมองย้อนกลับมามองตัวเองว่า ทำผิดอะไรที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าว คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ได้แต่ปลง


บอกตัวเองแต่เพียงว่า จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ ขอเราอย่าทำร้ายเพื่อนก็พอ

( ภาพ : Innocence โดย Michael C. Dudash )