Friday, August 25, 2006

..สะพานที่ข้ามไป..




หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเวลาใครโทร.มาหาดิฉันมักจะได้เสียงคนคุยกันอยู่ข้างๆ เกือบทุกครั้ง..


ลักษณะงานที่ทำอยู่เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะมีแต่การประชุม เป็นส่วนใหญ่ บางวันก็ประชุมกลุ่มกันอยู่เคร่งเครียด บางวันก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หลายครั้งที่ผู้ร่วมประชุมแชร์ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองของตนให้คนอื่นๆฟัง พูดง่ายๆ ก็คือนั่งคุยกันนอกเรื่องนั่นแหละค่ะ


การนั่งคุยกัน ช่วงพักเป็นการสร้างสัมพันธภาพในหมู่เพื่อนร่วมงานได้ดีทีเดียว ( แต่อย่าทำบ่อยเกินไป มิฉะนั้นอาจจะไม่ได้งานได้การ ในวันนั้นๆได้)
สองสามวันก่อน ในช่วงที่เป็นเวลาพัก พี่ที่อยู่อีกกลุ่มมานั่งคุยด้วย พี่คนนี้เป็นรุ่นพี่อาวุโส ทีทำงานในองค์กรนี้มานานมาก ที่บอกว่านานมากดูจาก
อายุของเแกสิคะ อีก 2-3 ปีก็ถึงวัยเกษียณแล้ว บางครั้งพวกเราก็คุยเล่นกับแก ก็แหย่แกว่าเป็นท่านผู้เฒ่าของกลุ่ม แกน่ารักค่ะ อารมณ์ดี จึงเป็นที่รักของ
พวกเรามาก วันไหนที่พี่คนนี้ยังไม่เข้ามา แต่ละคนก็ถามหาแล้วว่าไปไหน


วันที่นั่งคุยกัน แกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานให้พวกเราฟัง มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรก็เคยมาแล้ว ถูกปลดก็เคยมาแล้ว
ยิ่งช่วงวิกฤติเศรษฐกิจยิ่งแล้ว แกบอกผลงานแรกตอนที่ได้รบตำแหน่งคือ ต้องปลดพนักงานออก (lay off) จากองค์กรเกือบ 300 คน ถึงแม้ว่าจะไม่อยากทำ
แต่ก็ต้องทำ ยังมีเรื่องฟาดฟันกับ ผู้หลักผู้ใหญ่อื่นๆในองค์กร หลายครั้งหลายคลา จนพวกเราบอกว่า "ไม่น่าเชื่อว่าพี่จะเปรี้ยวอย่างนี้" ฟังแกเล่า ถึงชีวิต
แล้วนึกถึง แดจังกึม ยังไงยังงั้น โถ!! ต้องเจอกับพวกซังกุงตัวร้าย อยู่เนืองๆ


ประสบการณ์การทำงานที่แกเล่าให้พวกเราฟัง ทำให้รู้สึกปลงกับชีวิต การทำงานเหมือนกัน มีขึ้นก็มีลง อุปสรรคน่ะมีแน่ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราสามารถจะ
ฝ่าฝันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้มากน้อยแค่ไหน หลายคนที่เปลี่ยนแผนกหรือย้ายที่ทำงาน อาจมีความคับข้องใจในที่ทำงานเก่า ที่แน่นอนคือ บางคนก็ยัง
ไม่รู้ทิศทางที่แน่นอนของที่ทำงานใหม่ที่เพิ่งย้ายมา (รวมทั้งตัวของดิฉันเอง) มีเพื่อนคนหนึ่งแชร์ประสบการณ์ของเธอให้ฟังว่า มีผู้ใหญ่สอนไว้ การทำงาน
หรือดำเนินชีวิตไปข้างหน้า เปรียบเสมือนการเดินไปเรื่อยๆ บางหนทางกว่าเราจะเดินไปถึง ก็ต้องอาศัยการข้ามสะพาน ดังนั้นเวลาที่ข้ามไปถึงที่หมายแล้ว
เราไม่ควรที่จะเผาสะพานเดิมทิ้ง


เพราะ ไม่แน่ เราอาจจะต้องหันกลับไปเดินทางเดิมอีก..ก็เป็นได้


จริงมั้ยคะ

( ภาพ : Waterloo Bridge โดย Mc. Innerney Gene )



Sunday, August 20, 2006

..ได้อย่าง เสียอย่าง..


ดิฉันมีอาการปวดต้นขามาหลายวันแล้ว..

อาการปวดไม่ได้เหมือนปวดขา หรือปวดน่องเหมือนเวลาที่เรารู้สึกตอนที่เราเดินเยอะๆ แต่ปวดเหมือนพวกเส้นเอ็นอักเสบ หรืออะไรทำนองนี้
เออ!! หลายคนอาจจะสงสัยว่าดิฉันแยกแยะอาการปวดได้อย่างไร ดิฉันว่าคนเรามีคุณสมบัตินี้ติดตัวแทบทุกคน คือสามารถแยกแยะอาการ ที่ตัวเองเป็นได้ และเวลาที่ตัวเราเองเจ็บป่วย ตัวเราเองก็ย่อมรู้ดีกว่าใครว่า ตอนนี้เราไม่ปกติแล้ว ดิฉันเคยบอกเพื่อนบอกว่า เจ็บตรงตับ เพื่อนงง บอกว่าดิฉันบ้า และพูดกลับมาว่า ทำไมไม่บอกล่ะว่าเจ็บที่เซลล์ไหน ตอนนั้นก็ได้แต่ขำ


ดิฉันไม่ได้ปวดแค่ตรงต้นขาค่ะ แต่ปวดร้าวลงสะโพก(ปวดเฉยๆ ปวดแบบรำคาญ ไม่ได้รู้สึกชานะคะ) แค่สะโพกซ้ายเท่านั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว ดิฉันติดที่จะนั่งไขว่ห้าง และเอาขาขวาทับขาซ้ายอยู่เสมอ ดังนั้นบริเวณขาและสะโพกซ้ายจึงถูกกดทับอยู่เรื่อยค่ะ

อาการเรื่องปวดต้นขานี้ คุณผู้อ่านบางคนอาจจะเคยมีอาการแบบนี้มาก่อน สาเหตุที่ปวดก็คือ การที่นั่งมากไปก็เป็นได้ เมื่อกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายถูกกดทับนานๆ อาการอย่างที่บอกนี้ย่อมมาเยือนแน่นอน ยิ่งลักษณะงานเป็นแบบที่ว่า ไม่ได้ลุกไปไหนเลย วันๆ ก็นั่งอยู่กับที่ เวลาลุกเดินแค่ช่วงพัก 3ครั้งต่อวัน อันที่จริง จะเดินบ้างก็ได้ค่ะ แต่ดิฉันไม่ยอมลุกขึ้นมาเดินเอง นั่งแหมะอยู่กับที่นั่นแหละ เลยทำให้มีอาการปวดต้นขาอย่างที่เล่าให้อ่าน
เมื่อก่อน ลักษณะงานที่ดิฉันคือการดูแลคนไข้ บางวันแทบจะไม่ได้นั่งเลย เดินบ้างวิ่งบ้าง อาการเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่โรคอื่นมักจะถามหาคือ สิวขึ้นบ้าง (เพราะอดนอน) หรือไม่ก็โรคกระเพาะ เนื่องจากไม่มีเวลาทานข้าว


แต่พอลักษณะงานเปลี่ยนไป วันๆมีแต่นั่งประชุม หรือไม่ก็นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โรคปวดอย่างที่เล่ามา ก็มาเยือน เผลอๆโรคอ้วนถามหาอีกต่างหาก เพราะกินไป ก็ไม่ค่อยได้เดิน ( ถึงว่าสิ คนทำงานออฟฟิศถึงได้พุงใหญ่ ก้นใหญ่ อิอิ..ล้อเล่นนะคะ )

งานใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำครบหนึ่งเดือนพอดี ประเด็นที่ดีประเด็นหนึ่งก็คือการได้นอนหลับ พักผ่อนเต็มที่เหมือนอย่างชาวบ้านชาวช่องเขา มีวันหยุดเหมือนคนอื่น มีเวลารับประทานอาหารเหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่ได้แถมมาด้วยก็คือ อาการปวดขาจากการนั่งมากอย่างที่เล่ามานี่แหละค่ะ

ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบหรอกนะคะ อย่างที่มีคนบอกว่า "ได้อย่าง เสียอย่าง"


( ภาพ : Purple Tulips Sunflowers โดย Michael C. Dudash )

Friday, August 18, 2006

..สิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็น..




เมื่อวานพี่ที่ร่วมงานกันในโปรเจคบอกดิฉันว่า เวลาดิฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกมานี่ดูเป็นคนที่เรียบร้อยดีนะ ..

ด้วยความที่ในกลุ่มเพื่อนร่วมงานเป็นพวกมึงมาพาโวย การที่เรียก แก ฉัน (บางครั้งบางคราเวลาพูดเล่น ก็หลุดภาษาพ่อขุนออกมาบ้าง) ก็เป็นเรื่องธรรมดา ดิฉันอยู่ในกลุ่มนี้จึงต้องทำตัวตามน้ำค่ะ โบราณท่านสอนไว้ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม” เมื่อดิฉันยึดคติโบราณ คตินี้ ดิฉันจำเป็นต้องปฏิบัติตัวให้แปรผันตามค่ะ

พี่คนที่ทักดิฉันบอกว่า ดิฉันดูเรียบร้อย แต่เพื่อนๆในกลุ่มอีก 4-5คน ส่งเสียงโห่มา เมื่อได้ยินพี่คนนี้พูด ต่างคนก็ต่างบอกว่า ไม่จริงๆ (มัน) นี่แหละ เป็นหัวโจกเลย ดูสิคะ เหล่าเพื่อนๆ ที่น่ารัก

สัปดาห์ที่แล้ว มีการอบรมมาตรฐานการบริการ ซึ่งดิฉันเข้าอบรมรุ่นเดียวกับอดีตหัวหน้า (ตั้งสองท่านแน่ะ ) พี่ๆทั้งสองท่านยังถามดิฉันเลยว่า มาอยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนร่วมงานพวกนี้ได้อย่างไร เพราะกลุ่มนี้มักจะแซวอาจารย์ที่มาอบรมให้ เพราะดิฉันออกจะเรียบร้อย เหล่าเพื่อนๆ รีบบอกเลยค่ะ ว่าดิฉันเป็นหัวโจกประจำห้อง

หลายวันก่อน ตอนที่โอนย้ายจากที่ทำงานเดิมมาอยู่ที่ใหม่ เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งโอนย้ายมาพร้อมกัน ถามว่า “แกไปอยู่กับกลุ่มนี้ แล้วแกจะทันพวกเขาเหรอ?” ดิฉันเล่าให้เพื่อนกลุ่มถูกที่พาดพิงฟัง เพื่อนกลุ่มนี้ก็พูดเหมือนเดิม และบอกว่าท่าทางดิฉันจะเก็บกดจากแผนกเดิม และนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของดิฉัน

มีน้องคนหนึ่งที่รู้จักในบล็อค (ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ) บอกว่า ดิฉันท่าทางน่าจะร้ายกาจน่าดู น่าสงสารคนใกล้ตัวที่ต้องมาคบกับคนอย่างดิฉัน ดิฉันก็ตอบว่าใครมายังไงดิฉันก็ไปอย่างนั้น ใครที่เรียบร้อยมา ดิฉันก็เรียบร้อยกลับไป และบอกกลับไปว่า การที่เราวิจารณ์คนอื่น เราต้องหันกลับมามองตัวเองก่อนว่าตัวเราปฏิบัติยังไง กับคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ประโยคนี้อาจจะทำให้ ผู้ฟังไม่ค่อยพอใจนัก และดิฉันซึ่งเป็นผู้พูดเอง ก็ไม่ค่อยพอใจประเด็นที่สนทนากันเท่าไรนัก ในวันนั้น

จริงๆ ตัวเราจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าตัวเราเองย่อมตอบได้ และผู้ที่อยู่รอบตัวเราและมีปฏิสัมพันธ์กับเราเป็นปกติวิสัย ก็ย่อมตอบได้เช่นกัน

โดยปกติแล้ว มนุษย์เรามักจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานที่จะตัดสินหรือวิจารณ์คนอื่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ตัวดิฉันเอง ซึ่งดิฉันเองก็ทำบ่อยเหมือนกัน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ค่อยถูกต้องนัก อันที่จริงแล้วทำใจให้เป็นกลางก่อนดีกว่าที่จะตัดสินคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอะเพิ่งเจอ

ให้ถือคติ และบอกกับตัวก่อนดีกว่าว่า “สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น ”



( ภาพ : Jones Farm โดย Michale C. Dudash )

Thursday, August 17, 2006

..งาน งาน งาน..


หนังสือกองเต็มโต๊ะ ..
กระดาษวางเกลื่อนกลาด

หลายคนหลากความคิด
มองกันไปคนละมุม

สะกดอารมณ์กันไม่ได้
แผดเสียง...อื้ออึง

ปวดหัว.. ปวดตา.. ปวดกบาล


( ภาพ : Von Trapp Barn โดย Michale C. Dudash )

Tuesday, August 15, 2006

..Relaxing Time..


หลายครั้งเรามักจะพบคำถามว่าเราคลายเครียดกันด้วยวิธีไหนบ้าง ..

ทำไมดิฉันตั้งคำถามนี้ขึ้นมาถามอีก ทราบไหมคะ บอกให้ก็ได้ ถึงที่มาที่ไป เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ดิฉันนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ (วันหยุดแต่ก็ต้องเอางานมาทำ) และดิฉันก็ได้พบว่าตัวเองมักจะเครียดโดยไม่ค่อยรู้ตัว การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ในวันหยุดสร้างความเครียดได้ ระบบทางเดินอาหารนี่แหละค่ะบอกได้ ในร่างกายของดิฉัน ระบบทางเดินอาหารนี่แหละที่ไวที่สุดต่อภาวะเครียด อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ปวดกระเพาะแล้ว

ทายสิคะว่าดิฉันจัดการกับภาวะเครียดได้อย่างไร

ดิฉันเดินไปที่ตะกร้าแล้วนำผ้าออกมาซัก โดยมากแล้วคนสมัยนี้ใช้เครื่องซักผ้า มีดิฉันนี่แหละ ที่ไม่ค่อยนิยมเท่าไรนัก เวลากลับบ้านไปอยู่กับแม่ ดิฉันแยกเสื้อผ้าของตัวเองมาซักเองค่ะ ไม่ชอบการซักผ้าด้วยเครื่องเอาเสียเลย เหตุที่บอกว่าไม่ชอบก็เพราะว่า เครื่องซักผ้าทำให้เสื้อผ้าของเราพังเร็ว ที่แน่ๆทำให้เส้นใยในเนื้อผ้าของเราถูกทำลายเร็วกว่าการที่เราใช้สองมือของเราซักเอง

คนใกล้ตัวของดิฉันก็เหมือนกัน มักจะใช้บริการส่งผ้าซักที่ร้านซักรีดอยู่เป็นประจำ ผลเสียก็คือ เสื้อผ้าดูหม่นหมอง ไม่เหมือนเสื้อผ้าของดิฉันที่ใช้มานานแล้วยังดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ อีกประการหนึ่ง การส่งผ้าให้ร้านซัก ต้องทำใจค่ะ เพราะ ที่ร้านมักจะเอาเสื้อผ้าของเราไปรวมกับเสื้อผ้าของลูกค้าคนอื่นๆด้วย และเป็นธรรมดาที่คนรับซักผ้าคงไม่ถนอมเสื้อผ้าของเราแน่ๆ เนื่องจาก ไม่ใช่เสื้อผ้าของเขานี่นา ดิฉันเคยเจอหลายครั้งว่า พอเอาเสื้อผ้ากลับมาจากร้านซักทีไร มีคราบเหมือนสีตก เป็นประจำ เห็นแล้วหงุดหงิดทุกทีสิน่า

ไม่คุ้มกับราคาที่ซื้อมาเลยนะคะ เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องการซักผ้าด้วยเครื่องต่อกันดีกว่า หลายคนแนะนำว่า เวลาซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ก็เลือกโปรแกรมการใช้งานให้ถูกตามเนื้อผ้า แล้วอย่าลืมเอาผ้าใส่ถุงตาข่ายเสีย ก่อนที่จะโยนลงเครื่อง พูดไปเถอะค่ะ ดิฉันลองมาหมดทุกวิธีแล้ว

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ว่ามา จึงยอมเสียเวลาซักผ้าด้วยสองมือของตัวเองนี่แหละ เครียดขนาดไหนก็ลงกับเสื้อผ้าของเรานี่แหละ ซักนะคะ ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้าทิ้ง อิอิ

โดยปกติแล้ว พอถึงวันหยุดดิฉันมักจะหาโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก แต่วันหยุดวันนี้ นั่งทำงาน พอเครียดก็ลุกมาซักผ้าดีกว่า ได้ผลดีทีเดียว น้ำเย็นๆ ซักผ้าเพลินๆ แต่ถ้าใครที่อยากทำวิธีนี้ ไม่แนะนำให้ทิ้งผ้าไว้หลายๆวัน มิฉะนั้นอาจจะเครียดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ใครที่เบื่อวิธีคลายเครียดวิธีเดิมๆแล้ว ลองเอาวิธีซักผ้าคลายเครียดของดิฉันไปใช้บ้างก็ได้นะคะ อ้อ!! อย่าลืมหาน้ำยาซักแห้ง แล้วก็น้ำยาปรับผ้านุ่มหอมๆ ไว้ด้วย

เท่านี้แหละ เชื่อว่าหายเครียดแน่ๆ รับรอง ..


( ภาพ : Cutting Garden โดย Larson Thomas )

Sunday, August 13, 2006

..ความสุข..


ผ่านวันแม่ไปหนึ่งวัน

อันที่จริงแล้ว สิบสองสิงหา เป็นวันแม่แห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับดิฉันแล้ว ยกให้ทุกวันเป็นวันแม่

เมื่อวานนี้ถึงแม้จะไม่มีโอกาสไปกราบแม่ของตัวเอง ได้แต่ส่งเสียงตามสายไปหาแม่ แต่ก็มีโอกาสติดสอยห้อยตามคนใกล้ตัวไปคารวะคุณพ่อคุณแม่ของคนใกล้ตัว ครอบครัวเป็นอะไรสำคัญสำหรับดิฉันมาก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือคนที่เป็นพ่อ แม่ลูกนั่งคุยกันอย่างมีความสุข และตัวเราเองได้มีโอกาสเข้าไปนั่งใกล้ๆกับพวกเขา เป็นส่วนหนึ่งในวงสนทนา แค่นั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มใจมากแล้ว

ตอนที่เราเข้าไปในบ้าน คุณพ่อของคนใกล้ตัว กำลังพักผ่อนอยู่ คนใกล้ตัวของดิฉันก็เข้าไปปลุก บังเอิญที่คุณแม่ลงมาข้างล่างพอดี เลยคว้าเอาคนใกล้ตัวเข้าไปหอมแก้มซ้ายทีขวาที ภาพที่ดิฉันเห็นแต่ละภาพในบ้านหลังนี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจ ยิ่งตอนที่ท่านทั้งสอง เล่าเรื่องสมัยเด็กๆ ของคนใกล้ตัวให้ฟังยิ่งแล้ว ฟังไปยิ้มไป แล้วก็หัวเราะไปด้วย

เย็นวันนั้น หลังจากรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของคนใกล้ตัวแล้ว พวกเราก็ขอแยกกลับ ก่อนกลับ ผ่านไปบริเวณถนนราชดำเนิน พวกเราเพลิดเพลินกับการดูความสวยงามของไฟประดับตามถนนหนทาง รู้สึกสุขใจ อิ่มเอมกับความสุขในวันแม่ และเห็นสีหน้าของแม่ก็รู้สึกว่าแม่อิ่มเอมเหมือนกัน

ความสุขเกิดขึ้นได้ แล้วก็มีสิ่งที่ทำลายความสุขในวันนั้นได้เช่นกัน ดิฉันเห็นพวกที่ขับขี่มอเตอร์ไซด์กวนเมือง ไม่แน่ใจว่ากี่คัน เพราะนับไม่ทัน กลุ่มใหญ่เชียวค่ะ ขับขี่ไม่สุภาพ หมวกกันน็อคก็ไม่ใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมมากวนเมืองในวันแม่ ตามแยกมีตำรวจดักจับเหมือนกัน คิดว่าคงจับไม่ทันหรอกค่ะ เพราะตำรวจในป้อมตำรวจมีเพียงหนึ่งคน แต่มอเตอร์ไซด์มาเป็นแก๊งค์

พอพวกเขาเห็นตำรวจแล้วเห็นเพื่อนถูกจับไปหนึ่งคัน คงคิดหาทางหนีทีไล่ อยู่ๆ คงจอดกันโดยกระทันหัน มอเตอร์ไซด์ไปเกี่ยวกัน หรืออะไรก็ไม่ทราบได้ มีคันหนึ่งล้มลง และคันที่ตามหลังก็เข้ามาชนพอดี แต่ไม่แรงนัก แทบจะทับเอาเพื่อนข้างหน้าเลยทีเดียว ดิฉันขับรถสวนพวกเขาไปพอดี ดีที่ไม่เกิดเรื่องน่าสลดใจขึ้นต่อหน้าต่อตา จากนั้น ก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อไปสำหรับคืนวันนั้น เห็นแล้วแย่นะคะ คิดตามเลยค่ะว่า พวกเขาเอาแม่ไปไว้ไหนกัน แล้ววันที่ควรใช้เวลากับแม่ ทำไมเอาเวลามากวนเมืองอย่างนี้ เฮ้อ!!

แย่นะคะ ในสิ่งที่พบที่เห็นมา แล้ว สิ่งที่คิดไปตามไปด้วยก็คือ การที่เราเติบโตขึ้นมา เวลาผ่านไปทุกวันๆ การใช้เวลาอยู่กับผู้ให้กำเนิดเราก็น้อยลงไปทุกวี่ทุกวัน นานๆ ครอบครัวจะได้มีเวลามาพบหน้าค่าตากันสักครั้ง สิ่งเหล่านี้พบเห็นได้เป็นปกติในสังคมปัจจุบัน ดิฉันว่าเวลาเหล่านี้มีค่ามากเลยนะคะ เรายอมรับกันไหมว่า เรามัวแต่แสวงหาอะไรก็ไม่รู้

ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันไม่ใช่ความสุขที่จีรังเลย

( ภาพ : Mother And Child โดย Carl Holsoe )


Tuesday, August 08, 2006

..เรื่องของน้องดาวน์..

ทุกวันอาทิตย์ดิฉันต้องเข้าโบสถ์เสมอ ถ้าไม่ติดภารกิจอะไร..

โดยปกติแล้ว ที่โบสถ์จะแยกชั้นนมัสการ ระหว่างเด็กเล็กๆแล้วก็ผู้ใหญ่ พวกผู้ใหญ่จะนั่งนมัสการในโบสถ์ การนมัสการพระเจ้าของคริสตศาสนิกชนนั้น รวมถึง การร้องเพลง ฟังเทศน์ หรืออาจจะถวายเพลงพิเศษ หรือกิจกรรมอื่นๆ พิเศษ ก็แล้วแต่ว่า สัปดาห์นั้นๆ จะเป็นวันสำคัญอะไรบ้าง

ทุกสัปดาห์ดิฉันจะเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 10ขวบ เด็กคนนี้ ไม่ใช่เด็กปกติค่ะ เธอมีภาวะ Down’s Syndrome ซึ่งหลายคนทราบดีว่า โรคนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เอาเป็นว่า ดิฉันจะใส่ข้อมูลไว้ทีหลังก็แล้วกันนะคะ

เล่าเรื่องเด็กคนนี้ก่อนดีกว่า ..

เธอมักจะร่าเริงอยู่เสมอ ดิฉันไม่เคยเห็นเธอโศกเศร้าเลย บางที ศาสนาจารย์กำลังเทศนาอยู่ เธอก็วิ่งเข้าวิ่งออก (แต่ไม่ได้ทำเสียงดังนะคะ ) ทุกคนทราบดีว่า ธรรมชาติของเด็กคนนี้เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ดิฉันเห็นครั้งแรกแล้วแปลกใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ไม่จับเธอนั่งอยู่กับที่ แต่พอเจอหลายๆครั้งเข้าก็เข้าใจว่า เธอไม่ใช่เด็กที่ทำตัววุ่นวายอะไรเลย เพียงแต่อยู่กับที่ไม่ได้เท่านั้นเอง

หลายครั้งเวลาเห็นเธอ ดิฉันอดที่จะยิ้มไม่ได้ ถามว่ายิ้มกับอะไร ดิฉันขอตอบว่า ยิ้มกับความไร้เดียงสาของเธอ นิสัยของเด็กๆนี่ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่ ความสุขมักจะมากกว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆ หลายครั้งมักจะบอกตัวเองว่า ให้เรียนรู้ที่จะคิดแบบเด็กๆดีกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพราะมันมักจะทำให้เรากลุ้มอกกลุ้มใจไปเปล่าๆ บ่อยครั้งที่มานั่งเสียเวลากับกระบวนการคิดของตัวเอง

เอาล่ะค่ะ พักเรื่องความแตกต่างระหว่างกระบวนการคิดของเด็กกับผู้ใหญ่ไว้ก่อนดีกว่า ดิฉันขอย้อนถึงเรื่อง Down’s Syndrome ดีกว่า เพราะ หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่าโรคนี้มันคืออะไร

กลุ่มอาการดาวน์ (Down's syndrome) เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมมีสาเหตุจากการที่โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม ทำให้มีสภาพของนิวเคลียสหรือคารีโอไทป์ (karyotype) เป็นแบ บ 47, XX สำหรับเพศหญิง หรือ 47 , XY สำหรับเพศชาย ซึ่งสังเกตได้จากการนำภาพถ่ายของโครโมโซมมาจัดเรียงเป็นกลุ่มตามลำดับความยาวและตำแหน่งของเซนโทรเมียร์ (Centromere)

ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มี I.Q. ประมาณ 20-50 นอกจากมีภาวะปัญญาอ่อนแล้วผู้ป่วยยังมีลักษณะลำตัวนิ่ม มีหน้าตาแปลกจากลูกคนอื่นๆ กล่าวคือ มีศีรษะเล็กกลม ท้ายทอยแบน ลิ้นใหญ่จุกปาก ริมฝีปากบนโค้งขึ้น ใบหูต่ำกว่าปกติ หางตาชี้ขึ้น เป็นเด็กที่นอนหลับเก่ง ไม่ค่อยร้องกวน เจริญเติบโตช้า เช่น ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งคว่ำได้เมื่ออายุ 8 เดือน คลานได้เมื่ออายุ 11 เดือน เดินได้เมื่ออายุ 23 เดือน พูดได้คำแรกได้เมื่ออายุ 27 เดือน มีประจำเดือนเมื่ออายุ 16 ปี

จากที่พูดมาข้างต้น เราเป็นคนนอก ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของเด็กที่มีอาการดังกล่าว เลยมองดูแค่ความน่ารักเพียงผิวเผิน แต่ถ้า อยู่ในครอบครัวของเขาเหล่านั้น คงยิ้มไม่ค่อยออกหรอกนะคะ โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะถ้าเด็กเกิดมาแล้ว คงประสบปัญหาระยะยาวแน่ๆ ดังนั้น จึงมีข้อแนะนำไว้สำหรับคุณแม่ที่เตรียมตัวที่จะตั้งครรภ์ไว้ว่า

1. มารดาไม่ควรมีบุตรเมื่ออายุเกิน 35 ปี

2. สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป เมื่อตั้งครรภ์ควรตรวจดูคารีโอไทป์โดย การเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อนำโครโมโซมจากเซลล์ของทารกมาศึกษา ถ้าพบว่าผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์

3. ถ้าสังเกตว่าลูกเติบโตช้า ควรรีบพาไปปรึกษาแพทย์ ในการเลี้ยงดูบุตร หลานที่มีภาวะปัญญาอ่อน ควรให้เด็กเข้าเรียนในโรงเรียนที่จัดการศึกษาพิเศษสำหรับเด็ก ปัญญาอ่อน เช่น โรงเรียนราชานุกูล เป็นต้น ผู้ปกครองและสมาชิกในครอบครัวควรสอนให้เด็กช่วยเหลือตนเองสำหรับเด็กกลุ่มอาการดาวน ์สามารถช่วยตนเองได้ตามสมควรและเด็ก กลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างมากกว่าปัญญาอ่อนเพราะสาเหตุอื่นๆ พ่อแม่ควรสอนให้ลูกอาบน้ำ แต่งตัวและรับประทานอาหารด้วยตนเอง ค่อยๆ ฝึกหัดให้ช่วยทำงานบ้านอย่างง่ายๆ เช่น ซัก-ผ้า รดน้ำต้นไม้ ฝึกให้ทำงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ เช่น เย็บปักถักร้อย เป็นต้น เมื่อได้รับการฝึกทักษะบ่อยๆ จะสามารถทำงานเหล่านี้ได้ดี

4. ถ้ามีลูกผู้หญิงเป็นภาวะปัญญาอ่อน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับตัดมดลูก ทิ้งในกรณีที่ไม่สามารถดูแลตนเองให้เรียบร้อยเมื่อมีรอบประจำเดือน และควรทำหมันเพื่อป้องกันตั้งครรภ์ซึ่งอาจก่อให ้เกิดปัญหาอื่นตาม

หวังว่าข้อเขียนที่นำมาถ่ายทอดในวันนี้ คงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่จะสร้างครอบครัวใหม่ ไม่มากก็น้อย นะคะ ..


( ภาพ : Country Creek โดย Voyajolu George )

Thursday, August 03, 2006

..โคตรรักเอ็งเลย..


เมื่อวานมีเพื่อนโทรมาปรึกษาเรื่องความรัก ..

แฟนของเพื่อนคนนี้มีแฟนเก่าโทรมาหา บอกว่าคิดถึง ดังนั้นเพื่อนคนนี้จึงเกิดความกลุ้มอก กลุ้มใจเป็นธรรมดา ไม่รู้จะทำยังไงดี ดิฉันให้คำปรึกษาไปว่า ต้องดูพฤติกรรมของแฟนตัวเองด้วย ถ้าแฟนไม่ได้มีพฤติกรรมผิดแปลก และยังคงทำตัว เสมอต้นเสมอปลาย ดูแลกันและกัน ต่อไปเหมือนเดิม ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แล้วที่แฟนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังน่าจะเป็นสิ่งที่ดี นั่นแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของเธอ ที่เธอไม่ปิดบังคนรัก

ดิฉันเล่าเรื่องของดิฉันให้เพื่อนฟังเช่นกัน สำหรับกรณีที่แฟนเก่าเคยโทรมาหา ว่าเราไม่ได้มีท่าทีต่อกันเหมือนเดิมแล้ว และดิฉันก็เล่าให้คนรักของดิฉันฟังทุกอย่าง แน่นอน เรื่องระแวงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ดิฉันเตือนสติแฟนว่า เราสองคนยังคงดูแลกันเหมือนเดิม ดิฉันก็ไม่เคยที่จะออกไปพบใครสองต่อสอง

ใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง "โคตรรักเอ็งเลย" ที่เข้าฉายในขณะนี้ คงเกิดความประทับใจในการชม พอสมควร ในเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างดี สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นั่นคือ ตอนที่อยู่ด้วยกัน คนเรามักจะไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญ มักจะมองเห็นแต่ข้อเสีย ข้อด้อย ของอีกฝ่ายหนึ่ง และนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เข้ามาใหม่ในชีวิต แต่พอมีเหตุการณ์ที่สูญเสียอีกฝ่ายหนึ่งไป ต่างคนก็ต่างที่อยากจะย้อนเวลาให้กลับคืนมาเหมือนเดิม ซึ่งในเรื่องนั้น โชคดีที่ยังกลับคืนมารักกันได้ แต่ถ้าเป็นสถานการณ์จริงๆแล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างนั้นได้เสมอไปย่างแน่นอน

ในเรื่องนี้ดิฉันว่าผู้หญิงหวั่นไหว โอนอ่อนไปตามอารมณ์มากเกินไป โดยไม่คิดถึง สิ่งอื่นในใดเลย แม้แต่ลูกนอกจากความสุขใจของตัวเอง เท่านั้น เหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมา ดิฉันไม่ขอเล่าก็แล้วกัน แต่อยากให้คนที่รักกันได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ หากใครที่กำลังทะเลาะกัน หรือไม่เข้าใจกัน อาจจะได้ข้อคิดที่ดีจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้

การอยู่ร่วมกันของคนสองคน ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆอย่างมาประกอบ อย่างที่ในเนื้อหาของภาพยนตร์ มีตอนหนึ่งที่บอกว่า เจ้าชาย เจ้าหญิงในชีวิตจริง มันไม่เหมือนในหนัง ในละคร หรือในนวนิยายเสมอไป

เอาเป็นว่า ใครที่กำลังทะเลาะกัน หมางเมินต่อกัน ขอให้หันกลับเข้ามาคืนดีกันเถอะค่ะ

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก หันหลับมาทำดีต่อกันดีกว่า ดีไหมคะ ..


( ภาพ : Almhuette โดย Waldmueller Ferdinand George )