Wednesday, May 31, 2006

..น้ำใจไทย..


หลังจากที่เกิดอุทกภัย ในสามจังหวัดภาคเหนือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว..

แม่บอกว่าทางหน่วยราชการเอาถุงยังชีพพระราชทาน มาแจกจ่ายให้ราษฎรที่ประสบอุทกภัย จะมีรายชื่อบ้านแต่ละหลังที่สมควรได้รับสิ่งของ รวมทั้งบ้านของแม่ด้วย

เราจะเห็นว่าเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เมื่อมีของแจก ไม่เคยมีครั้งไหนที่แจกจ่ายได้ทั่วถึง บ้านของแม่ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน แต่ระดับน้ำขึ้นมาเพียงหนึ่งขั้นบันไดเท่านั้น เรียกว่าแทบไม่เสียหายเลยด้วยซ้ำ ที่หนักหน่อยคือปริมาณโคลนที่แม่ต้องกำจัดให้ออกจากบริเวณบ้าน และ เมื่อเทียบกับบ้านอื่น จะเห็นว่าแค่นี้ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บ้านที่อยู่บริเวณใกล้ๆกับบ้านแม่ ก็โดนไปหลังละนิดหลังละหน่อย

เมื่อหน่วยงานราชการเอาถุงยังชีพมาแจกจ่ายให้ แม่บอกว่าละอายใจที่จะรับ เพราะบ้านเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าให้มา แม่อยากจะเอาไปบริจาคต่อให้คนที่เดือดร้อนจริงๆ

การแจกจ่ายของบริจาค หรือแม่แต่ถุงยังชีพเอง ยังไม่สามารถแจกจ่ายไปให้ชาวบ้านได้ทั่วถึง ต้องให้ไปรับจากทางเทศบาลเอาเอง หมู่บ้านที่โดนน้ำท่วมเต็มๆ เช่นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา ไม่สามารถออกมารับของได้ และเทศบาลไม่สามารถนำไปแจกจ่ายได้ อาจจะเนื่องมาจากหลายๆสาเหตุ เช่นถนนถูกตัดขาดจากภายนอก เป็นต้น ลำบากสำหรับชาวบ้านต้องเดินเท้าออกมา

แม่ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ถนนสวยๆ ที่เราเคยผ่านไป ครั้งที่ไปเที่ยวในหุบเขานั้นถูกกระแสน้ำพัด จนไม่เหลือสภาพความเป็นถนนสวยๆแบบที่เราเคยเห็น สะพานคอนกรีตที่แข็งแรง ถูกน้ำป่าพัดจนไม่เห็นเป็นสะพานอีกต่อไป รถหลายคันที่จอดที่รีสอร์ทข้างทาง ถูกแรงน้ำพัดจนคว่ำ

ช่วงที่เพิ่งเกิดอุทกภัยนั้น บริเวณที่ทำการของเทศบาล มีเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงศพออกมา ศพแล้วศพเล่า เป็นที่รู้สึกหดหู่แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

ภาพข่าวเมื่อหลายวันก่อนก็เช่นกัน ดิฉันถามแม่บอกว่า เป็นจริงอย่างที่สื่อนำเสนอหรือไม่ ทำไมอ่างเก็บน้ำแม่มาน มีท่อนไม้ลอยมาเยอะขนาดนั้น แม่บอกว่า มีปนๆกันทั้งเศษไม้และท่อนไม้ แต่ท่อนไม้นั้นเป็นท่อนไม้ที่ถูกกระแสน้ำที่เชียวกราก ทำให้หลุดออกมาทั้งรากทั้งโคน รวมทั้งเศษไม้ไผ่ แล้วเศษอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ เหมือนเศษขยะ ภาพถ่ายนั้นถ่ายจากที่สูงด้วยซ้ำ

ขออนุญาต เขียนเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องจาก มาหลายปีแล้ว ไม่ใช่แค่ปีสองปี ถ้าจะบอกว่า เป็นเรื่องของนายทุนที่ตัดไม้ ก็คงต้องย้อนกลับไปหลายปี ปัญหานี้เป็นปัญหาสะสมมายาวนาน ถือว่าเป็นปัญหาที่เรื้อรังแน่นอน อาจจะไม่ใช่แค่ปัญหาระดับชาติ ถ้าบ้านอื่นเมืองอื่นเป็น ก็เป็นปัญหาระดับโลกล่ะค่ะ

ปัญหาแบบนี้ หากจะโทษว่าเป็นยุคของใคร สมัยของใครก็คงไม่ใช่เรื่อง ถ้าเรามัวแต่มานั่งกล่าวโทษกันอย่างนี้ มันคงไม่เกิดประโยชน์ น่าจะหันหน้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกันดีกว่า

หลายหน่วยงาน ทุ่มเท ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน เห็นแล้วก็น่าชื่นใจ หลายหน่วยงานมีอาสาสมัครเข้าไปบรรจุของ ไม่แน่ใจว่าคนจ่ายแจกจะมีหรือไม่ บางที่มีแต่ของ แต่ไม่มีคนไปแจก ก็ลำบาก

การช่วยผู้ที่เดือดร้อน ควรจะช่วยให้ทั่วถึง และ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ควรปล่อยให้เป็นปัญหาสืบเนื่องไปยาวนาน

เหมือนกรณีสึนามิ ที่เป็นกรณีตัวอย่าง เป็นต้น ..

หมายเหตุ : กองทุนสึนามิ หายไปไหนหมด ถ้าหากันเจอแล้ว ก็โปรดนำมาคืนชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ นะคะ ... รู้จักคำนี้กันไหมนี่ ... "บาป" !!


( ภาพ : Soft Winds โดย Pollera Daniel )

Tuesday, May 30, 2006

..สิ่งสำคัญ..

สองวันก่อนไปทะเลมา..
ตอนยืนอยู่เบื้องหน้าทะเลอันไพศาล
ความรู้สึกเก่าๆย้อนกลับมากระทบหัวใจ

ความรู้สึกที่ว่า ..
มนุษย์เรา ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมากเหลือเกิน
เล็กราวกับผงธุลีในจักรวาล

เสียงคลื่นลมที่ซัดสาดมาตลอดเวลา
ทำให้นึกถึงถ้อยคำของ Albert Einstein ที่ว่า
"Human beings, vegetables or cosmic dust,
we all dance to a mysterious tune intoned
in the distance by an invisible player"

เหตุผลที่ไปทะเล
เพราะไปสัมภาษณ์งานที่ใหม่
ที่จังหวัดหนึ่งริมทะเล
ตั้งใจจะออกจากกรุงเทพซักพัก(ใหญ่ๆ)

ชีวิต 3 ปีในเมืองหลวง
ทำให้ตัวเองหลงลืมเรื่องสำคัญหลายๆเรื่อง
เรื่องสำคัญที่ว่าก็อย่างเช่น ..
วิธีการชงกาแฟที่ทำให้ได้กาแฟที่อร่อยที่สุด
วิธีการปลอบใจคน
วิธีการแกะปูแบบไม่ให้ปูกระเด็นกระดอนมาโดนหน้า
วิธีการหว่านเมล็ดดอกไม้ลงในกระถาง
วิธีการส่งข่าวผ่านสายลม...

ไร้สาระ... หลายๆคนคงกำลังคิดในใจ
เรื่องแบบนี้นะหรือที่สำคัญ
มันไม่สำคัญต่อการ มีชีวิต ซักนิดเดียว
แต่เรื่องเหล่านี้สำคัญในการ.. ใช้ชีวิต

ไม่ใช่ชีวิตที่เป็นผู้ครอบครองโลก
แต่หมายถึงชีวิตที่อ่อนโยนและเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

เราอาจจะเกรี้ยวกราดมากไป
เราอาจจะเรียนรู้ที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่นมากไป
และเรียนรู้ที่จะไขว่คว้ามากไป
จนหลงลืมไปว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำเช่นนั้น

ตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ทำให้หัวใจของเราแห้งแล้งใบ้เบื้อเย็นชา
ความฉาบฉวยสีแพลทตินัม สีทอง ทำให้เราตาบอด
มองไม่เห็นสิ่งสำคัญที่ผ่านหน้าเราไปง่ายๆ

เสียงของคำเยินยอ เคลือบยาทำลายเยื่อแก้วหูของเรา
ส่งผ่านผู้คนรอบข้างและสื่อต่างๆไม่เว้นวัน


คงมีสักครั้ง ที่เราพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า
โดยที่เรารับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของเขา
....เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ
จำได้ไหม ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน

คงมีสักครั้ง ที่เราคบใครสักคน
โดยที่เราได้รู้จักผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขา
พ่อแม่ ลูก แฟน ครอบครัวของเขา
และคบด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง

จำได้ไหม ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ..

หมายเหตุ : ข้อความนี้เขียนโดย exclusive member จากกระทู้ในเว็บthaiclinic.com

( ภาพ : A Summer Place โดย Pollera Daniel )



..ภูมิปัญญาไทย..


เมื่อก่อนดิฉันชอบอ่านการ์ตูนพ็อคเก็คบุ้คของญี่ปุ่นมาก..

มีทั้งการ์ตูนผู้หญิง แล้วก็โดราเอมอน ฮาโตริ อาซาริ ปาร์แมน และอื่นๆอีกมากมาย แต่ต้องแปลเป็นไทยก่อนนะคะ เพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก เมื่อก่อนการ์ตูนญี่ปุ่นพวกนี้เล่มละสิบบาทเห็นจะได้ แต่เดี๋ยวนี้ราคาอัพขึ้นไปถึงเล่มละหกสิบบาทแล้ว

เดี๋ยวนี้เราจะจะเห็นร้านเช่าหนังสือตามแหล่งชุมชนต่างๆมากขึ้น แต่ละร้านจะมีการ์ตูนให้เช่าเยอะแยะไปหมด จากการสังเกตนะคะ ไม่ได้เช่า เห็นหลายคนไปเช่าหนังสือมาอ่านแล้ว ก็เลยลองเข้าไปบ้าง เคยเช่านิตยสารมาหนหนึ่งค่ะ โอ้!!แม่เจ้า เล่มละ 8บาทต่อวัน (ถ้าจำไม่ผิด) ครั้งนั้นไม่มีเวลาเอาไปคืนค่ะ โดนไป 30 กว่าบาท โห! กำไรเห็นๆ ทราบว่าหลายร้านก็ราคาเท่านี้

เมื่อเป็นดังนั้นดิฉันจึงไม่นิยมที่จะเป็นลูกค้าร้านเช่าหนังสือค่ะ ซื้ออ่านเองดีกว่า คุ้มราคาเหลือหลาย เก็บไว้แล้วจะเอาออกมาอ่านเมื่อไรก็ยังได้

สาเหตุที่ราคาหนังสือพุ่งสูงขึ้น อาจจะเนื่องมาจากกฏหมายลิขสิทธิ์ก็ได้ จำได้ไหมคะว่าเมื่อก่อน สำนักพิมพ์ไหนที่นำการ์ตูน โดราเอมอน เข้ามาในประเทศไทยเป็นเจ้าแรก จริงๆไม่ทราบแน่นอน ยุคนั้นมีหลายสำนัก ทั้งวิบูลย์กิจ สยามสปอร์ตพับลิชชิง แล้วก็สำนักพิมพ์โนเนมอีกหมายมาย เข้าใจว่า ใครที่แปลภาษาญี่ปุ่นได้ก็สามารถพิมพ์ออกมาจำหน่ายได้ ไม่เหมือนยุคหลังที่กฏหมายลิขสิทธิ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เหตุที่ว่านำมาสู่การเพิ่มราคาของหนังสืออย่างแน่นอน เมื่อเอ่ยถึงเรื่องกฏหมายลิขสิทธิแล้ว ขอพูดเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้หน่อยเถอะค่ะ

เรื่องของฤาษีดัดตนที่เป็นข่าวดังอยู่ในเวลานี้ยังไงล่ะคะ ในข้อความตอนหนึ่งของข่าวบอกมาว่า “เมื่อวันที่ 25 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมช. สาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับทราบข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศว่า มีการร้องเรียนจากคนไทยในญี่ปุ่น กรณีที่บริษัทแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับการนวดแผนโบราณไทย โดยโฆษณาผ่านทางเว็บไซต์ ชื่อ http://www.rusiedutton.com/ ระบุว่า นายมาซากิ ฟุรุยะ ได้จดลิขสิทธิ์ คำว่า “ฤาษีดัดตน” ในรูปของเครื่องหมายการค้าและชื่อบริษัท ในชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤาษีดัดตน จำกัด ไว้กับหน่วยงานการจดลิขสิทธิ์ของญี่ปุ่น คือ Japan Patent Office หรือ ชื่อย่อว่า JPO ไว้เรียบร้อยแล้ว

โดยระบุว่า หากใครนำคำว่าฤาษีดัดตนไปใช้ จะมีความผิดตามกฎหมาย โดยนายฟุรุยะ ได้ระบุในเว็บไซต์ ถึงวัตถุประสงค์ของการจดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าครั้งนี้ว่า เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการค้า และใช้ในกิจกรรมต่างๆของบริษัทฤาษีดัดตน รวมถึงเอกสารต่างๆด้วย ซึ่งหากการจดลิขสิทธิ์มีผลในทางกฎหมาย ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของภูมิปัญญาฤาษีดัดตน จะไม่สามารถใช้ คำนี้ในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเรียนการสอนเรื่องฤาษีดัดตนด้วย ”

ท่านผู้อ่าน คิดยังไงกับข่าวนี้กันบ้างคะ ดิฉันเอง ทราบมาว่า ฤาษีดัดตนเป็นภูมิปัญญาไทย มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ บริเวณวัดพระเชตุพน (หรือวัดโพธิ์) มีรูปปั้นฤาษีดัดตน และมีบันทึกลงแผ่นศิลาจารึกด้วยซ้ำ แต่ไหงปล่อยให้มีคนในประเทศอื่นนำเรื่องนี้ไปจดลิขสิทธิ์ได้ ดิฉันละงงจริงๆ

ภูมิปัญญาของประเทศเรามีหลายต่อหลายเรื่องนะคะ แต่ทำไมเราไม่จดลิขสิทธิ์ไว้ หลายเรื่องคิดไว้แต่ไม่ได้ทำ ประเทศอื่นเขาเร็วกว่า นำไปจดก่อนซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นเลย การจดลิขสิทธิ์น่าจะจดในนามรัฐบาลไทย หรือเป็นสมบัติของชาติ เรื่องดีๆ ไม่ควรปล่อยให้จดในนามของนาย ก.หรือ นาย ข .เสียด้วยซ้ำ

ภูมิปัญญาไทย หลายต่อหลายเรื่องที่ถูกต่างชาตินำไปโดยอ้างว่าเป็นของตัวเอง แล้วนับต่อแต่นี้ไปไม่รู้ว่าจะมีเรื่องไหนอีก ที่จะเป็นคดีดังเหมือนเรื่องฤาษีดัดตนอีก

โอ้ละหนอ ภูมิปัญญาไทย ..


( ภาพ : Barefoot Recital โดย Rucker Harrison )

Monday, May 29, 2006

..ร้านอาหารยอดแย่..



หลายท่านที่ติดตามบล็อคนี้มานานคงทราบดีว่าดิฉันเคยชอบไปนั่งทานอาหารที่ร้าน River Bar ..

หลังจากวันเสาร์ที่ผ่านมา ดิฉันขอตั้งปณิธานไว้ว่า ดิฉันจะไม่ไปเหยียบที่ร้านนี้อีกต่อไป จะเล่าให้อ่านถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้

วันเสาร์นั้นเป็นวันทำงานของดิฉัน เหตุการณ์ปกติตลอด ไม่ได้มีเรื่องมีราวกับใคร บรรยากาศการทำงานเป็นไปด้วยดี เลิกงานดิฉันก็ชวนคนใกล้ตัวไปทานอาหารมื้อเย็น ตั้งใจไปแถวพุทธมณฑล แต่วันนั้นรถติดพอสมควร พอข้ามสะพานซังฮี้ มาได้สักประเดี๋ยวก็ ตัดสินใจว่า ไปนั่งทานอาหารริมน้ำที่ร้านริเวอร์บาร์กันเถอะ อีกไม่กี่นาทีจะหกโมงเย็นพอดี ช่วงนั้นมีลูกค้าไม่กี่โต๊ะ แต่พวกเราไม่ได้นั่งโต๊ะริมน้ำ เพราะถูกจองไปหมดแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ เรานั่งแถวถัดมาก็ได้

พนักงานเสิร์ฟหญิง เอารายการอาหารมาให้เลือก (เมนูอาหารที่นี่เก่ามาไม่เคยปรับปรุง ท่าทางจะเปรอะเหล้าด้วยซ้ำ) เธอยืนรอข้างโต๊ะด้วยหน้าตาที่บึ้งตึง ดิฉันเหลือบมองหน้าเธอหนหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าเลือกอาหารต่อ สักพักเธอเอาปากกาเคาะ กระดาษจดรายการอาหารในมือเธอเป็นจังหวะเรื่อยๆ แล้วหน้าตาก็ยังบูดบึ้งอยู่เช่นเดิม ดิฉันถามว่า ถ้าคุณผู้อ่านประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะทำอย่างไร ?

สำหรับดิฉันเอง ดิฉันหยุดดูรายการอาหาร ทันที แล้วถามเธอคนนั้นว่า “จะเคาะทำไม ใช้เวลาเลือกนานนักหรือ?” เวลานั้นดิฉันเพิ่งเปิดรายการอาหารไปประมาณ 3 หน้าเอง เธอตอบว่ามาว่า “เคาะตามจังหวะเพลง อารมณ์ดีก็ไม่ได้” ว่าแล้วเธอก็สะบัดตูดเดินออกไปจากโต๊ะดิฉันแล้วให้บริกรคนอื่นมารับหน้าแทน แล้วคิดหรือคะว่าดิฉันจะนั่งต่อ ลุกเลยสิคะ ร้านอาหารไม่ได้มีร้านเดียวนี่นา

ตอนนั้นดิฉันฟิวส์ขาดแล้วค่ะ มือไม้สั่นไปหมด ไม่คิดว่าร้านอาหารระดับนี้ให้บริการลูกค้าแบบนี้ ดิฉันเคยชื่นชอบร้านนี้มากๆ ไปใช้บริการหลายต่อหลายหน พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนๆรอบตัวไปด้วยอีกต่างหาก แต่พอมาเจอบริการยอดแย่อย่างนี้ เสียความรู้สึกมากๆ ไม่รู้ว่า ผู้จัดการร้านได้อบรมมารยาทการบริการบ้างรึเปล่า ?

เข้าใจนะคะว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นคละคลุ้งไปทั้งข้อง ดิฉันทำงานในองค์กรที่เป็นงานบริการเหมือนกัน ลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ ไม่เคยเลยนะคะ ที่แสดงอาการ (ทรามๆ) แบบนี้ต่อหน้าผู้มารับบริการ บริกรของร้านก็เป็นหน้าเป็นตาของร้านเหมือนกัน ดิฉันว่าร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านข้าวราดแกงข้างทางยังบริการได้ดีกว่าที่นี่ด้วยซ้ำ

เจอเรื่องแบบนี้ สติแตกสิคะ เลยไม่ได้เรียกผู้จัดการมาในเวลานั้น แต่ได้โทรศัพท์กลับไปที่ร้านขอสายผู้จัดการในอีก 2-3ชั่วโมง หลังจากอารมณ์เย็นลงพอสมควรแล้ว ขณะนั้นได้รับคำตอบว่า คุณแม่ของผู้จัดการไม่สบาย ผู้จัดการไม่เข้ามาที่ร้านในวันนั้น แล้วยังบอกอีกว่า สัปดาห์หนึ่งจะเข้ามาประมาณ 2 หน เอาเข้าไป!!

ช่างมันเถอะค่ะ ลูกค้าคงตัดสินได้เอง เหมือนอย่างดิฉัน เพราะถ้าเจอสิ่งที่แย่ๆ อย่างนั้น คงไม่เข้าไปอีกต่อไป เนื่องจากไม่ได้มาขอฟรีๆ บริกรควรทำหน้าที่ของบริกรให้ดี ให้สมราคาที่ตั้งไว้ด้วยซ้ำ

ขับรถออกมาเพื่อที่จะกลับรถใต้สะพาน สายตาไปเห็นร้านที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่นคือ Water Front ค่ะ เอ้า!!ลองดูก็ได้ เห็นมาตั้งนานแล้วไม่เคยเข้าไปสักที จอดรถก็มีพนักงานนำรถไปจอดให้ ร้านอาหารมีหลายโซน มี ที่เทอเรซทั้งชั้นบนแล้วก็ชั้นล่าง ยังมีห้องที่มีบรรยากาศแบบผับ แล้วก็ห้องคาราโอเกะด้วย พวกเราเลือกเทอเรซชั้นสองค่ะ ลมแรงเหมือนกัน อาหารอร่อย วันนั้นสั่งไก่ทอดซอสฮ่องกง ปูหลน ข้าวผัดกุ้งปลาเค็ม แล้วก็ ต้มข่าไก่มารับประทาน รสชาติดีทีเดียว อีกทั้งไม่มีพนักงานที่หยาบคายแบบที่ดิฉันเจอที่ River Bar แน่นอน

คิดไปคิดมาคนใกล้ตัวของดิฉันบอกว่า เราควรขอบคุณ River Bar ที่ทำให้เราประสบเหตุการณ์ที่ว่านี้ ไม่เช่นนั้น เราก็คงไม่เลี้ยวรถเข้ามาที่ร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ แบบ Water Front แห่งนี้

ใช่มั้ยคะคุณโจ๊ก ..

หมายเหตุ : สอบถามพนักงานดูแลลานจอดรถของ River Bar บอกว่าผู้จัดการร้านชื่อ พี่โจ๊ก ค่ะ แต่พวกเขาไม่ยักกะรู้จักชื่อและนามสกุลนะคะ พิจารณาด้วยล่ะ ด้วยความปรารถนาดี


( ภาพ : Natural Child โดย Rucker Harrison )

Saturday, May 27, 2006

..ไม้อ่อนดัดง่าย..


แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันสงสารเหลือทน ..
วันหนึ่งมันถูกฝน ไหลลงจากบนหลังคา
พระอาทิตย์ส่องแสง น้ำแห้งเหือดจนลับตา
มันรีบไต่ขึ้นฝา หันหลังมาทำตาลุกวาว.. วาว ..วาว

จำกันได้ไหมคะ เพลงนี้ ?

เชื่อว่าเด็กไทยทุกคนต้องเคยร้องเพลงนี้แน่นอน สมัยเรียนอนุบาล คุณครูชอบนำเพลงนี้มาร้องให้เด็กๆอย่างพวกเรา (ในสมัยนั้น) ฟัง แล้วพวกเราก็ร้องตามด้วยความเพลิดเพลิน ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้คุณครูได้นำเพลงนี้มาสอนเด็กๆกันหรือเปล่า

ในวันที่ฝนตกวันหนึ่ง อยู่ๆ นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ยังไงไม่ทราบ เข้ากับบรรยากาศฝนตกกระมังคะ อันที่จริงเพลงนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ ที่เรียกว่า nursery rhymes ซึ่งเป็นกลอนหรือเพลงที่เด็กรู้จักกัน เพื่อที่ว่าเด็กๆจะได้เรียนวัฒนธรรมไปพร้อมๆกันด้วย เพลงนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Incy Wincy spider ค่ะ เนื้อเพลงมีอยู่ว่า

Incy Wincy spider
Climbed up the water spout;
Down came the rain
And washed the spider out.
Out came the sunshine
And dried up all the rain;
Incy Wincy spider
Climber up the spout again

เพลงสำหรับเด็กนี้ เข้าใจว่าคนแต่งคงอยากให้เด็กรู้จักแมงมุมรวมทั้งความเป็นไปของธรรมชาติ เช่นฝนตก แดดออก หรือไม่ก็อยากจะสร้างจินตนาการของเด็ก อีกทั้ง ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กให้ใกล้ชิดกัน

หากคุณพ่อคุณแม่ ร้องเพลงให้ลูกฟังหรือร้องคลอตามไปด้วย ก็จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ใจเย็นลง เมื่อร้องเพลงจบ ไม่ใช่ต่างคนต่างแยกกันไป แต่เพลงเด็กเหล่านี้จะทำให้เกิดเรื่องพูดกันระหว่างและหลังการฟังเพลง หรือสิ่งรอบตัวบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ก็สามารถนำมาสอดแทรกเข้าไปเพื่อสอนเด็กได้ ซึ่งช่วยให้เขารับรู้ได้ดี

สมองของเด็กช่วงนี้มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่งั้น ถ้าไม่พัฒนา ดิฉันเชื่อว่าเราก็คงไม่จำเพลงแมงมุมลายตั้งแต่บัดนั้นจนถึงเวลานี้ได้หรอกค่ะ เช่นเดียวกับเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ จำได้ไหมคะ ว่านิทานสุภาษิตเรื่องนี้เราเรียนกันตั้งแต่เมื่อไร ดิฉันจำได้ ว่าตั้งแต่ชั้นป.1 แล้ว นี่คือความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ค่ะ

แต่เมื่อมีการพัฒนาการของสมองแล้ว สมองของมนุษย์เราก็มีวันหยุดพัฒนา แต่อาจจะเป็นไปในทางเสื่อมลงได้เรื่อยๆ สังเกตกันอีกไหมว่า เวลาอายุมากขึ้น ความจำมันก็ลดลงเรื่อยๆ นึกอะไรมันก็นึกไม่ค่อยจะออก เคยอ่านตำราบอกว่าความสามารถของสมองมนุษย์เนี่ย ถูกมนุษย์ใช้ไปไม่ค่อยเต็มที่เท่าไรนัก พวกเราจะใช้แค่ 10-20% เท่านั้น แปลกใจเหมือนกัน คงต้องหาวิธีลับสมองกันเสียแล้วมั้ง แต่พอถึงอายุปูนนี้แล้ว คงฉลาดขึ้นไม่ได้อีกแล้วมั้งคะ


ดังนั้นจะปลูก จะฝังอะไรก็ต้องรีบทำตั้งแต่เป็นเด็กค่ะ ไม่อ่อนยังไงก็ดัดง่าย ไม่เหมือนไม้แก่ ดัดยังไงก็ดัดยาก ส่วนขาของแมงมุมลายตัวนั้น จะอ่อนจะแก่ยังไง ก็อย่าไปดัดมันเลยนะคะ

สงสารมัน อิอิ ..



( ภาพ : Ballet Dehearsal โดย Edgar Degas )

Friday, May 26, 2006

..ตะคริวถามหา..



หลายวันก่อน นอนอยู่ดีๆ เป็นตะคริวที่เท้าทั้งสองข้าง ..

เมื่อมีอาการดังนี้ ตื่นขึ้นมาล่ะเป็นงงสิคะ อากาศก็ไม่ได้เย็น นอนตอนกลางวันยิ่งแล้ว เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นๆยังไงก็ไม่สามารถสู้กับอากาศข้างนอกที่ร้อนๆได้ เมื่อหลายปีก่อนเคยมีอาการแบบนี้แทบทุกวันค่ะ ช่วงกลางคืนเวลาอากาศเย็นๆ หรือไม่ก็ช่วงที่คิดว่าร่างกายตัวเองขาดแคลเซียม เพราะ สาเหตุของการเป็นตะคริวสาเหตุหนึ่งก็คือขาดแคลเซียม

ช่วงนั้นดิฉันต้องกระหน่ำดื่มนมแทบทุกวันเลย เพื่อไม่ให้เกิดการเป็นตะคริว เพราะเป็นแล้วจะรู้สึกว่าทรมานเป็นอย่างยิ่ง ใครที่เคยเป็นคงจำได้และรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบนั้นแน่ๆ ว่ามันทรมานแค่ไหน บางคนก็เป็นตะคริวเวลาที่ออกกำลังกายหนักๆ และคงจะทราบดีเช่นกันว่า สาเหตุของตะคริวที่ว่านั้น เกิดขึ้นเนื่องจาก กล้ามเนื้อบริเวณนั้นขาดออกซิเจน

เอาเป็นว่า วันนี้ดิฉันนำเรื่องของตะคริว มาเล่าให้อ่านกันดีกว่าค่ะ เข้าบอกว่า ตะคริว. . . คือ ภาวะกล้ามเนื้อแข็ง เกร็ง และปวด มักเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้สึกตัว อาการปวดเกร็งจะเกิดอยู่เพียงไม่นาน โดยพบว่ากล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวได้บ่อย คือ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา ในทางการแพทย์ระบุไว้ว่า “ตะคริว เกิดขึ้นจากการปล่อยประจุไฟฟ้าของปลายประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง”

เวลาเป็นตะคริวนั้นจะเห็นว่า กล้ามเนื้อหดแข็งเป็นก้อนสามารถคลำได้ ทั้งนี้หากสังเกตแล้ว การเกิดตะคริวจะเกิด ขึ้นในเวลากลางคืน หรือภายหลังจากการออกกำลังอย่าง หนัก บางคนอาจมีอาการปวดในช่วงแรก ๆ และค่อย ๆ ทุเลาลงไปเอง บางคนอาจปวดอย่างต่อเนื่องเป็นวัน ๆ ได้ เนื่องจากเกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อในช่วงนั้น ๆ

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยเป็นตะคริว และทุกคนที่มีประสบการณ์คงจะรู้สึกถึงเจ็บปวดนี้ได้ดี ตะคริวแม้ไม่ใช่อาการที่รุนแรงและน่ากลัว แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วหลายคนก็มักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การช่วยเหลือตนเองก็ลำบากมากขึ้น

แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเป็นตะคริว… มีข้อมูลระบุว่า การเกิดตะคริวในนักกีฬานั้น มีสาเหตุมาจาก การขาดเกลือแร่และอิเลคโตรไลด์ (Electrolyte) ซึ่งเกิดจากการขับของเหงื่อเป็นจำนวนมากในระหว่างเล่นกีฬา สำหรับในคนปกติพบว่า การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายแบบรวดเร็วก็มีผลเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ภาวะที่กล้ามเนื้อขาดเลือดหล่อเลี้ยง ซึ่งเกิดได้บ่อยในระหว่างวัน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งนอนหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกนาน ๆ ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก สำหรับผู้ที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้ากางเกงที่รัดแน่นมากเกินไป อาจทำให้เลือดที่จะไปเลี้ยงลดลง กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน จนเกิดเป็นตะคริวได้

ทั้งนี้ ในผู้ป่วยที่มีการสูญเสียปริมาณน้ำในร่างกาย หรือการที่ร่างกายเสียเกลือโซเดียม เนื่องจากท้องเสีย อาเจียน การสูบบุหรี่ การใช้ยาบางชนิด หรือสูญเสียเหงื่อมากเนื่องจากความร้อน อากาศร้อน หรือทำงานในที่ที่ร้อนจัด ก็ส่งผลให้เกิดเป็นตะคริวรุนแรงขึ้นในทันทีได้

การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับผู้ที่เป็นตะคริว เพื่อลดอาการเจ็บปวด คือ เมื่อเกิดตะคริวขึ้นที่ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดให้คุณใช้ของเย็นหรือผ้าเย็นประคบ อย่าใช้ของอุ่นหรือร้อนเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งมากขึ้น หลังจากนั้นให้ผู้ป่วยพยายามยืดกล้ามเนื้อจุดนั้นออกอย่างช้า ๆ เช่น หากคุณเป็นตะคริวที่น่อง ก็ให้เหยียดขาให้ตึงแล้วกระดกปลายเท้าขึ้นจะช่วยให้ตะคริวคลายออกได้เร็วขึ้น

สำหรับผู้ที่เป็นตะคริวที่น่องและเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะเดินนาน ๆ ผุ้รู้เขาบอกมาว่า ให้คุณลองบริหารกล้ามเนื้อด้วย วิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ เริ่มจากยืนหันหน้าเข้ากำแพงห่างประมาณ 3-4 ฟุต จากนั้นให้ก้มตัวไปด้านหน้าโดยเอามือยันกำแพง ให้ส้นเท้าสัมผัสที่เข่า และหลังเหยียดตรง ทำต่อเนื่อง 3 นาที และพัก 1 นาที ให้ครบ 15 นาที นอกจากนี้การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี ด้วยสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนได้เต็มที ก็เป็นการลดความเสี่ยงการเกิดตะคริวได้

ทั้งนี้หากอาการไม่ดีขึ้นแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยเฉพาะความผิดปกติเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดที่ขา หรือมีภาวะหลอดเลือดแข็งตัวจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือโรคอื่น ๆ ได้

สำหรับตัวดิฉันเอง คิดว่าตะคริวของตัวเอง เกิดมาจากการขาดแคลเซียมแน่นอน เพราะช่วงนี้รู้สึกว่าฟันของตัวเองชักจะกร่อนง่ายเสียด้วยสิ (ไม่รู้ว่าเพราะความชราภาพมาเยือนรึเปล่าหนอ?) ในเวลาต่อมา เมื่อคิดว่าตนเองไม่สามารถดื่มนมได้ทุกวันแล้ว เลยต้องรับประทานแคลเซียมเม็ดแทน น่าจะช่วยบรรเท่าอาการเหล่านี้ได้บ้าง

แล้วคุณผู้อ่านล่ะคะ มีอาการแบบนี้บ้างรึเปล่า ? ..

หมายเหตุ : ข้อมูลวิชาการเรื่อง "ตะคริว" จาก ร.พ. ศิริราช

( ภาพ : Piano Room โดย Bomhoff Lee )

Thursday, May 25, 2006

..ถึงก่อน มีสิทธิ์ก่อน..


ดิฉันเริ่มงานประมาณเจ็ดโมงเช้าค่ะ ถ้าอยู่เวรเช้า..

โดยปกติจะตื่นนอนประมาณหกโมง ใช้เวลาเตรียมตัวก่อนไปทำงานประมาณหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากที่พักอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน ถ้ามีเวลาสักนิดสักหน่อยก็จะมักจะหาอะไรรับประทานรองท้องก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาลุยงาน แต่ถ้าไม่มีเวลาก็นู่นเลย สิบเอ็ดโมง หรือไม่ก็เที่ยงวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณงานว่ามากน้อยแค่ไหน

รุ่งเช้าของวันทำงานทุกวันจะเห็นว่า บริเวณบาทวิถีด้านหน้าโรงพยาบาลจะมีอาหารการกินเรียงราย ล่อตาล่อใจ และยั่วน้ำลาย ของเหล่าผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ทำงานในโรงพยาบาลเอง หรือไม่ก็อาคารสำนักงานต่างๆ ซึ่งก็มีหลายสำนักทีเดียวในย่านนี้

หนึ่งในอาหารสุดฮิตที่ติดทำเนียบ ของเหล่าคนทำงาน นั่นก็คือข้าวเหนียวหมูทอดนั่นเอง แถวนี้จะมีหลายเจ้า ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้เข้าทำแฟรนไชด์ หมูทอดกันหรือเปล่า เพราะสังเกตจากลักษณะของรถเข็นแล้ว ดูเหมือนๆกันอยู่หลายเจ้า และก็ทำขายทั่วทุกหัวระแหง ย่านไหนมีอาคารสำนักงาน ย่านนั้นมักจะมีหมูทอดตามมาเสมอ เข้าใจว่าขั้นตอนการรับประทานไม่ยุ่งยากนัก

ถ้าใครสังเกตดีๆจะเห็นว่า หมูทอดที่ขายในบริเวณเดียวกันจะมีรูปลักษณ์และรสชาติไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ยกตัวอย่างในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของที่ทำงานของดิฉัน หมูทอดจะมี 3เจ้า เจ้าแรกนั้นจะทอดหมูแล้วใส่กระเทียมเยอะๆ เข้าใจว่า น่าจะใช่ชื่อว่า หมูทอดกระเทียมพริกไทย เจ้านี้ก็อร่อย คนรอเยอะ เพราะขายเป็นเจ้าแรกในแถบนี้ เสียอยู่อย่างเดียว นั่นคือพอรับประทานจนหมดถุง แล้วจะรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง อีกเจ้าหนึ่งมาแรงไม่แพ้กัน เจ้านี้ทอดหมูแบบแห้งๆ ไม่ใส่กระเทียม ลักษณะเหมือนเราทอดที่บ้าน เน้นหมูล้วนๆ ติดมันเล็กน้อย รสชาติออกเค็มๆ แต่พอรับประทานกับ ข้าวเหนียวล่ะก้อ ดิฉันว่ารสชาติกำลังพอดีเลยแหละ

ส่วนเจ้าสุดท้าย น้องเล็ก แต่ก็มาแรงเหมือนกัน เจ้านี้ ขายหลายอย่างมีทั้งหมูติดมัน ทอดให้เป็นหมูกรอบ เธอจะใช้หมูสามชั้น (จริงๆดิฉันก็ไม่ได้นับชั้นหรอกค่ะ เขาเรียกกันอย่างนั้น ดิฉันก็เรียกตามไปด้วย) ทอดจนเหลืองกรอบ รสชาติกำลังดี แต่ถ้ารับประทานมากๆหรือบ่อยๆ ก็เลี่ยนได้เป็นธรรมดา เผลอๆ มันจากสามชั้น ก็อาจจะย้ายที่มาเป็นชั้นที่หน้าท้องและคางของผู้รับประทานก็ได้

คนไทยเรานี่โชคดีนะคะ อาหารการกินหารับประทานได้ง่ายมาก อยู่ที่ไหนก็มีอาหารการกินอันอุดม เช้าวันหนึ่งดิฉันแวะซื้อหมูทอด เจ้าประจำ ระหว่างที่ยืนรอแม่ค้าหั่นหมูกรอบอยู่ ทันใดนั้นเอง มีชายคนหนึ่งท่าทางรีบมาก ขอซื้อหมูทอดเหมือนกัน แล้วแม่ค้าก็หยุดหั่นหมูกรอบของดิฉัน แล้วขายหมูทอดให้ชายคนนั้นก่อน จากนั้นเขาคนนั้นก็รีบเดินไปอย่างไม่แยแส อะไร ดิฉันก็เป็นงง ดีที่ยังอารมณ์ปกติ นี่ถ้าโมโหหิวคงต่อว่าแม่ค้าและผู้ชายคนนั้นไปแล้ว เพราะดิฉันเองก็รีบไปทำงานเหมือนกัน

เห็นอยู่บ่อยๆนะคะ เหตุการณ์แบบที่ดิฉันพบเจอ ส่อให้เห็นว่า คนๆนั้นไม่ค่อยมีระเบียบ ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น คนแบบนี้คงไม่รู้จักคำว่า in a queue มาก่อนอย่างแน่นอน แย่นะคะ เจอคนแบบนี้

ว่าแล้วดิฉันขอตัวไปกินหมูทอดให้หายแค้นก่อนนะคะ ..


( ภาพ : Country Girl โดย Robert Duncan )

Wednesday, May 24, 2006

..ธรรมชาติรับได้เท่าที่จะรับ..

ไม่น่าเชื่อว่าน้ำจะท่วมหนักขนาดนี้ ..

ตั้งแต่เล็กจนโต จำความได้ว่าที่บ้านไม่เคยประสบภัยจากน้ำท่วมเลย แปลกใจเหมือนกันว่า ปีสองปีที่ผ่านมา แม่เริ่มส่งข่าวว่า น้ำท่วม ครั้งที่แล้วจำได้ว่าเป็นครั้งแรก น้ำไหลมาเร็วมาก แต่โชคดีที่ท่วมไม่มากนัก ไม่ถึงหนึ่งขั้นบันไดบ้านของแม่อยู่ที่จังหวัดแพร่

เป็นที่ทราบดีว่าทางภาคเหนือพื้นที่ย่อมเป็นที่สูง ภูมิประเทศโดยรอบจะเป็นภูเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ จังหวัดแพร่เป็นจังหวัดที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา ผู้คนจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นบริเวณที่คล้ายกับแอ่งกระทะแม่เล่าว่า เช้ามืดของเมื่อวานนี้ แม่นอนหลับอยู่แต่ รับรู้สัมผัสว่ามีกลิ่นของโคลน เข้ามาปะทะจมูก แม่ไม่คิดว่าน้ำจะท่วม เพราะริมรั้วมีพนังกั้นน้ำจากคลองเล็กๆข้างบ้าน จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงของคุณน้าข้างบ้านมาตะโกนบอกว่า น้ำท่วม แม่จึงรีบลุกจากที่นอน ตอนนั้นเป็นเวลา ตีสี่พอดี แม่สังเกตเห็นว่าถนนหน้าบ้านมีน้ำไหลท่วมพนังกั้นน้ำเข้ามา และยังไหลแรงมากเสียด้วย หลังจากนั้นไม่นาน น้ำก็ไหลบ่าเข้ามาในบ้านของเรา ปีนี้ระดับน้ำขึ้นมาถึงหนึ่งขั้นบันได โชคดีกว่าอีกหลายแห่งที่โดนพิษของน้ำป่าเข้าไปเต็มๆ

แปดโมงกว่าของวันนั้น ที่บ้านของแม่ น้ำที่ท่วมนั้นได้แห้งเหือดลงแล้ว แต่ยังมีโคลนที่หลงเหลืออยู่ ไม่ใช่เศษโคลน แต่เป็นโคลนที่มากับน้ำ แน่นอน ความสูงของโคลนประมาณ20 เซนติเมตรเห็นจะได้ ติดตามข่าวน้ำท่วมที่แผ่ขยายไปหลายที่หลายแห่ง แต่ละแห่งก็มีซุงท่อนใหญ่ๆลอยมาตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากรวมถึง หมู่บ้านในหุบเขาในจังหวัดแพร่ที่ดิฉันเคยไปเที่ยวและได้เล่ามาให้เพื่อนในบล็อคได้อ่านกันเมื่อปีที่แล้ว หมู่บ้านที่ว่านี้ อยู่ติดกับภูเขา คิดว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้เต็มๆ เมื่อเช้าก่อนออกมาทำงาน ข่าวบอกว่าหมู่บ้านนั้นยังคงถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แม่บอกว่ารีสอร์ทริมทาง ติดๆกับภูเขา ท่าทางจะฟื้นได้ยาก ถูกพิษของน้ำป่าเข้าไปเต็มๆเหมือนกัน

เมื่อหลายสิบปีก่อนพื้นที่ป่าจะเป็นป่าที่สมบูรณ์ ไม้สักต้นใหญ่ๆ จะมีให้เห็นทั่วไปในป่า เมื่อถึงหน้าฝน ต้นไม้จะเขียว ดูสดชื่น ตอนเป็นเด็กทางโรงเรียนมักจะพาไปปลูกป่า ในวันสำคัญต่างๆที่มีในช่วงฤดูฝน หลายปีผ่านไปต้นไม้ถูกทำลายมากขึ้นทุกวัน อาจจะมีสาเหตุมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความเห็นแก่ตัวของผู้มีอิทธิพลบางกลุ่ม ภูเขาที่ล้อมรอบพื้นที่ดังกล่าว ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขา ต้นไม้ที่เคยปกคลุมให้ร่มเงาแก่ผืนดินรวมทั้งสัตว์ใหญ่น้อยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ต่างร่อยหรอลงไปทุกวี่ทุกวัน ผลกระทบก็เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นมากขึ้น เป็นเงาตามตัว มิหนำซ้ำยังแผ่ขยายออกไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ผลกระทบพวกนี้เกิดมาจากน้ำมือของมนุษย์เราทั้งสิ้น แต่บ่อยครั้งแทนที่กรรมจะสนองผู้ที่ได้กระทำ แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้ได้รับกรรมนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้ก่อขึ้น

น่าเห็นใจผู้ประสบภัยจริงๆค่ะท้ายที่สุดนี้ ขอส่งความเห็นใจไปยังผู้ประสบภัยทุกครัวเรือน

ช่วยกันเถอะนะ พี่น้องไทย ..

Tuesday, May 23, 2006

..หัวใจนี้ ไม่มีพอ..


ใครเคยอ่านหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า"หัวใจ ไม่เคยพอ" บ้าง ? ..

หน้าปกหนังสือบอกไว้ว่า เนื้อหาเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีคนบอกว่า เธอเป็น ฮีสทีเรีย หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือขายดีได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 23 แล้ว ดิฉันสนใจเลยซื้อหามาอ่านบ้าง สนใจที่เขาบอกว่า เป็นชีวิตจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้ว่า ฮีสทีเรียเป็นอย่างไร เพราะ เคยได้ยินชาวบ้านเขาพูดกัน ไม่เคยพบไม่เคยเจอในชีวิตจริงเลย ทั้งๆที่ทำงานอยูในวงการสุขภาพ

หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึง ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งดูภายนอก จะเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติในหนังสือบอกด้วยว่า เธอเป็นดาวมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่พอเจอพิษเศรษฐกิจ เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว เธอก็เหลือแต่รูปสมบัติ เพราะความประพฤติของเธอเอง รวมทั้งสังคมรอบตัวพาไปที่สำคัญคือ อารมณ์ของเธอมีอิทธิพลเหนือสติ

เนื้อเรื่องกล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคนมากหน้าหลายตา เรียกได้ว่านับไม่ถ้วนว่างั้นเถอะ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนของแฟน อาจารย์ของเธอเอง รวมทั้งสามีของเพื่อนผู้ซึ่งให้ความอนุเคราะห์เรื่องที่อยู่กับเธอ และที่ร้ายที่สุดก็คือ พี่ชายของเธอ ท้ายที่สุดแล้ว เธอตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ก็คือ ลูกของเธอและพี่ชายร่วมสายเลือดนั่นเอง หลายคนคงเดาถูกว่า เด็กที่คลอดออกมา ย่อมไม่ใช่เด็กที่ปกติ เนื่องจากมียีนด้อยของพ่อและแม่มาจับคู่กัน เวรกรรมของเด็กจริงๆ ค่ะ เพราะคนที่เป็นพ่อเด็กก้ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

ฉากสุดท้ายของเรื่อง บอกไว้ว่า ผู้หญิงคนนี้ เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย แล้ว ขณะนั้นเธออายุ 29 ปี คำนวณระยะเวลาที่เธอใช้ชีวิตแบบนี้ ราวๆ 10 ปีเห็นจะได้ ไม่ได้ซ้ำเติมเธอหรอกนะคะ กรรมได้สนองเธอแล้ว แต่ลูกของเธอน่ะสิคะ จะมีใครที่จะดูแลต่อไป อนาถใจจริงๆ

เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ ดิฉันคิดว่าหลายคนคงเศร้าใจเหมือนดิฉันแน่นอน ดิฉันว่า การนำเสนอของหนังสือเล่มนี้ เพื่อสะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในปัจจุบันที่เละเทะ พอดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ยังคิดเลยว่า มันเป็นเรื่องจริงของชีวิตหรือนี่ ทำไมคนเราปล่อยตัวไปตาม สัญชาตญาณดิบของตัวเองได้ขนาดนี้

และเมื่อมาวิเคราะห์ดูแล้ว ดิฉันว่า คนในสังคมปัจจุบันบางคน เกิดสิ่งเหล่านี้ในชีวิตขึ้นได้ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างประมาท อันเนื่องมากจากพื้นฐานของจิตใจที่ไม่เข้มแข็งนั่นเอง บางคนบอกว่าสังคมพาไป ดิฉันว่าสิ่งที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์เราก็มีเยอะแยะ แต่หากไม่เอามันมาใช้ ก็จะเป็นเหมือนบุคคลในเรื่องนี้ได้ค่ะ

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น สำหรับเรื่องฮีสทีเรียที่ดิฉันสงสัย เลยไปทำการค้นหามาให้อ่านกัน เขาบอกมาว่าฮีสทีเรีย มี 2 แบบ คือ โรคประสาทฮีสทีเรีย และบุคลิกภาพแบบฮีสทีเรีย ซึ่งพบได้มากกว่า และอาจเป็นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

คนที่มีบุคลิกภาพแบบฮีสทีเรีย จะเป็นคนที่มีลีลา ท่าทาง และมีการแสดงออกมากเกินไป จนเหมือนเล่นละคร โดยจะแสดงอากัปกิริยาชายหูชายตา ยั่วยวน เพื่อดึงดูดความสนใจ หรือเชิญชวนทอดสะพานให้เพศตรงข้าม จึงทำให้หลายคนมักเข้าใจผิดว่า คนๆ นั้นมีความปรารถนาทางเพศสูง ทั้งๆ ที่อาจมีความบกพร่องด้านความรู้สึกทางเพศเสียด้วยซ้ำ

คนที่มีบุคลิกภาพแบบฮีสทีเรียนี้จะมีความเป็นเด็กสูง ชอบเรียกร้องความสนใจ จึงมีการแสดงออกทางอารมณ์ค่อนข้างมาก ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะขาดความรักในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องการความรักอย่างมาก เมื่อขาดความรักในช่วงนั้นจึงทำให้โหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้งที่มีความรักก็จะไม่รู้จักพอ แต่อย่าลืมว่า นั่นเป็นความต้องการในเรื่องของความรักเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องความใคร่อย่างที่ใครๆ มักเข้าใจกัน

ส่วนโรคประสาทฮีสทีเรียเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่เชื่อว่า ความเครียดในจิตใจ ทำให้เกิดอาการทางด้านร่างกาย เช่น แขนขาไม่มีแรงคล้ายเป็นอัมพาต เป็นต้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางเพศที่สูงขึ้นอย่างที่บางคนเข้าใจกัน โรคประสาทฮีสทีเรีย แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่

คอนเวอร์ชัน รีแอคชั่น (conversion reaction) จะเป็นเวลามีความเครียด กังวลใจ หรือเกิดความขัดแย้งในจิตใจมากๆ จะเกิดอาการผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชาที่แขนและขา พูดไม่มีเสียง พูดไม่ได้ ตามองไม่เห็น กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ซึ่งเป็นอาการที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย หรือทางระบบประสาทแต่อย่างใด

อีกประเภทหนึ่งคือ ดีสโซซิเอทีฟ (dissociative type) เป็นการสูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือน

ตัวละครในเรื่องนี้ ถ้าเป็นฮีสทีเรีย อย่างที่ในหนังสือบอกมา ก็น่าจะจัดอยู่ในประเภท บุคลิกภาพแบบฮีสทีเรีย ไม่ใช่โรคฮีสทีเรียแน่นอน

แล้วมีใครสงสัยเหมือนดิฉันกันไหมคะ ว่าทำไมคนทั่วไปมักจะว่าผู้หญิงที่มีพฤติกรรมดังที่กล่าวมาข้างต้น ว่าฮีสทีเรีย แต่ผู้ชายที่เจ้าชู้ มีเพศสัมพันธ์ไม่เลือกหน้า ทำไมพวกเราไม่บอกว่าเป็น ฮีสทีเรียบ้างล่ะ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ..


( ภาพ : Golden Moment โดย Townsend John )

Monday, May 22, 2006

..เมื่อถึงวันนั้น..


คุณปู่ของดิฉันกลัวการอยู่เพียงลำพัง ..

ท่านไม่ได้อยู่บ้านแต่เพียงลำพังค่ะ มีลูกและหลานคอยดูแลอยู่เพียงแต่ ไม่ได้ดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เนื่องจากภาระทางด้านการงาน ดังนั้นในช่วงกลางวันของวันธรรมดา ไม่มีลูกและหลานอยู่ที่บ้าน แต่ละคนจะกลับมาในเวลาเย็น และจะพูดคุยกับท่านเหมือนปกติ ที่บอกว่าช่วงกลางวันไม่มีลูกและหลานๆอยู่ที่บ้าน ไม่ได้หมายความว่าทิ้งคนชราให้อยู่ตามลำพัง ทว่ามีแม่บ้านคอยดูแลอยู่ในเวลานั้น แต่ท่านก็หาทางที่จะออกไปเปิดหูเปิดตานอกรั้วบ้านเสมอ (เพื่อหาคนคุยด้วย ...อันตรายเหมือนกันนะคะ เพราะคนแก่มักจะไว้ใจคนง่ายมากๆ)

ช่วงที่ท่านไม่สบาย เป็นเวลาที่ลูกๆหลานๆ เข้ามาดูแลท่านอย่างใกล้ชิดกว่าเวลาปกติ แต่ท่านมักจะบอกว่า ลูกๆหลานๆทิ้งท่าน ไม่ดูแลท่าน หนำซ้ำกลับบอกว่าคนอื่นนั้นดีกว่าลูกหลานของตัวเอง บางคนนั้นรู้จักกันเพียง วันสองวันท่านก็เทิดทูนความดีของเขาเสียแล้ว แรกๆทุกคนเครียดค่ะ จนภาวะเครียดที่ว่านั้นเริ่มอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “เครียดปกติ” เพราะ ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร แต่ไปๆมาๆ ก็ปรึกษากันว่า ดูแลท่านให้ดีเท่าที่พวกเราจะทำได้

พวกเรามานั่งวิเคราะห์กันว่า นับตั้งแต่คุณย่าเสีย และญาติสนิทล้มหายตายจาก คุณปู่กลัวมากในเรื่องการหมดลมหายใจ ดิฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าคุณปู่ท่านอายุ 84 แล้ว แต่สภาพที่พวกเราเห็น ยังดูแข็งแรงเหมือนคนที่อายุ 60 กว่าปี ทุกวันนี้ท่านยังบำรุงสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารเสริมสารพัด ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง ที่ดิฉันทราบก็เห็นจะเป็น นมผึ้งนี่แหละค่ะ ท่านชอบพูดชอบคุย คุยไปได้เรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่งคุณอาของดิฉันเล่าให้ฟังว่า วันนั้นเป็นวันหยุดของคุณอา คุณปู่ท่านนั่งพูดนั่งคุยกับคุณอาตั้งแต่ 9 โมงยันสี่ทุ่มค่ะ มีสารพัดเรื่อง หลายๆเรื่องที่ลองมานั่งวิเคราะห์กันดูจะเห็นว่าคุณปู่ท่านไม่ปลงกับสังขาร

หลายวันก่อนดิฉันนั่งคุยกับคนใกล้ตัวเรื่องพวกนี้ และก็พบว่า คุณแม่ของคนใกล้ตัวก็ยังไม่ปลงในเรื่อง อนิจจังเหมือนกัน พวกเราพุดคุยกันในประเด็นนี้อยู่พักใหญ่ แล้วพวกเราก็มีความคิดตรงกันว่า พวกเราไม่เคยกลัวในเรื่องของความตาย

ที่ดิฉันบอกว่าไม่กลัวตาย ไม่ได้บอกว่าอยากตายนะคะ คนละความหมายกัน ไม่กลัวตาย หมายความว่า หากมีเหตุอันใดก็ตามที่ทำให้ตัวเราหมดลมหายใจ ดิฉันคิดว่าตัวเองยอมรับได้ คงจากโลกนี้ไปด้วยความสงบค่ะ คงไม่ต้องการยืดชีวิตไว้ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นอนิจจัง ชิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ดังนั้นดิฉันจึงย้ำกับตัวเองเสมอว่า ทำชีวิตในวันนี้ให้มีความสุข ทำดีต่อตัวเองและผู้อื่น อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขา

ทำไมคนเราจึงได้กลัวนักกลัวหนากับความตาย กลัวเจ็บ หรือว่ากลัวชีวิตหลังความตาย ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ว่าสวรรค์หรือนรกที่เป็นรูปธรรมมีจริงหรือไม่ บางคนก็เปรียบเปรยว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ พุทธศาสนิกชนเชื่อในเรื่อง กรรม และแน่นอน ชีวิตหลังความตายจะพูดถึงเรื่องนรกและสวรรค์ และคริสตศาสนิกชนก็เชื่อเรื่องแผ่นดินสวรรค์

ดิฉันว่าที่ดิฉันไม่กลัวตาย ก็เพราะ คิดดีทำดี มั้งคะ เมื่อจิตใจดีแล้ว ไม่คิดที่จะเบียดเบียนใคร นี่แหละมั้ง ที่ทำให้เราไม่กลัวที่จะพบกับวันที่จะหมดลมหายใจ เมื่อวันนั้นมาถึง ดิฉันคิดว่าดิฉันยอมรับมันได้ค่ะ

แล้วคุณล่ะคะ กลัวตายกันมั้ย? ..


( ภาพ : Summer Breeze โดย Zolan Richard )

..สมควรถูกประณาม..


หลายวันก่อนมีคนไข้ที่ตั้งครรภ์คนหนึ่งมา admit ด้วย โรคหูชั้นกลางอักเสบ ..

หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media) หรือภาษาชาวบ้านที่เรามักจะคุ้นเคยกันว่าโรคหูน้ำหนวกนั่นเอง อาการของโรคนี้ก็คือ มักมีอาการปวดหูมาก และพบร่วมกับการเป็นหวัด คออักเสบ หรือมีความบกพร่องในการทำงาน ของท่อปรับความดันที่ต่อเชื่อมระหว่างหูชั้นกลางและคอ บางคนอาการเหมือนกับคนหูตึงเลยก็มี แต่ผู้ป่วยจะมีอาการเหล่านี้ราวๆ หนึ่งถึงสองสัปดาห์เท่านั้น ถ้ารักษาถูกทาง และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม อาการจะค่อยๆดีขึ้น และหายป่วยในที่สุด

คนไข้ของดิฉันคนนี้ก็เช่นกัน นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ราวๆ4-5วัน ก็สามารถกลับบ้านได้ ระหว่างที่พักอยู่ในโรงพยาบาลจะมีสามี และเด็กรับใช้ ที่สลับกันมาดูแลเธอ รุ่นน้องที่อยู่เวรในเวลากลางคืนเล่าให้ฟังว่า คืนหนึ่งสามีของเธอมาเฝ้า แต่ตอนที่มาเฝ้านั้น สภาพที่พบก็คือดื่มเหล้าจนเมามาย พูดจาแทะโลม และกริยารุ่มร่ามจนน้องคนนี้ไม่กล้าเข้ามาในห้องคนไข้คนนี้แต่เพียงลำพัง ต้องพาผู้ช่วยเข้าไปด้วยทุกครั้ง บางครั้งมีงานในห้องอื่นติดพันอยู่ก็ต้องลากกันเข้าไปด้วย

เมื่อวันสองวันนี้ก็เช่นกัน ดิฉันก็พบเจอด้วยตัวเอง จนได้ คนไข้ถามดิฉันเรื่องอาการหูอื้อที่เธอเป็นอยู่ พอได้รับคำอธิบาย ก็เข้าใจดี แต่ผู้ที่เป็นสามีที่นั่งข้างๆเธอนี่แหละค่ะ มีคำถามต่อจนได้ เป็นต้นว่า แล้วนั่งรถได้ไหม? ดิฉันก็ตอบไปว่า นั่งรถได้แต่ไม่ควรจะนั่งรถขึ้นไปบนภูเขา คนปกติก็หูอื้ออยู่แล้ว คนไข้คนนี้ มีอาการแบบนี้ ขืนนั่งรถขึ้นภูเขา คงไม่หายในเร็ววันแน่ๆ

แล้วยังมีอีกค่ะ นั่งรถแล้วยังมีคำถามว่า งั้นก็นั่งเครื่องบินไม่ได้สิ ดิฉันก็ตอบว่า ช่วงนี้อย่าเพิ่งเลย รอให้หายดีกว่า อีกประการหนึ่ง ถ้าอายุครรภ์มากๆคุณหมอ ก็ไม่แนะนำให้นั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ ด้วยซ้ำ และเมื่อดิฉันตอบคำถามดังกล่าวไปแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ถามต่อไปว่า “แล้วทำการบ้านได้ไหม?” ดิฉันตอบกลับไปว่า คงต้องถามคุณหมอหรือตัวภรรยาของคุณเอง หรือไม่ก็ให้ใช้วิจารณญาณก็แล้วกันค่ะ

ถ้าคุณผู้อ่านถูกถามด้วยคำถามแบบนี้จะรู้สึกอย่างไรบ้างคะ หรือไม่ก็เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ดิฉันรู้สึกว่า ดิฉันถูกคุกคามทางเพศด้วยซ้ำ (เอ!! หรือว่าดิฉันคิดมากไปหน่อยหรือเปล่านี่?) ปกติแล้ว ถ้าจะตั้งคำถามประเภทนี้ ควรจะถามกับแพทย์เอง (สังเกตว่าเวลาแพทย์มาเยี่ยม คุณสามีไม่เห็นสนใจคุณหมอหรือคุณภรรยาเท่าไรเลย) หรือไม่ก็ตั้งคำถามให้ดูสุภาพกว่านี้ น่าจะเหมาะสมกว่า

เวรกรรมจริงๆนะคะ ตัวภรรยานอนป่วยอยู่และตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาดูแลภรรยาและห่วงทารกในครรภ์ แต่ตัวผู้เป็นสามีกลับคิดถึงแต่เรื่องพวกนี้ แย่นะคะ ถ้าดิฉันเป็นภรรยาของคุณคนนี้ คงละอายแก่ใจ ในคำถามที่ผู้เป็นสามีถามพยาบาล

การถูกคุกคามทางเพศนี่พบเห็นได้ทั่วไปเลย ในยุคนี้สมัยนี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่หลายๆคนมักจะมองข้ามไป แต่บางครั้ง ก็เป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ควรจะมองข้าม ดังที่เราเห็นจากข่าวเมื่อหลายวันที่แล้ว

ผู้ชายแบบนี้สมควรได้รับการประณามเป็นอย่างยิ่งค่ะ ..


( ภาพ : Good Day Light โดย Dalton Brown Alice )

Thursday, May 18, 2006

..ปัจจัยที่ 5 ?!!?..


เมื่อวานนี้สัญญาณโทรศัพท์ล่มอีกแล้ว ..

พยายามติดต่อกับหมอเพื่อจะรายงานผลการตรวจของคนไข้ ติดต่อยังไงก็ติดต่อไม่ได้ เกือบสามชั่วโมงกว่าโทรศัพท์จะใช้การได้

หลายคนอาจจะสงสัยว่าไม่มีวิธีอื่นอีกหรือนอกจากการใช้โทรศัพท์มือถือ ประเด็นนี้ของตอบว่ามีค่ะ แต่ ณ เวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่บ้าน ก็ไม่มีผู้รับสาย เวลานั้นมันเป็นเวลาทำงานนี่คะ ไม่มีคนอยู่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ติดต่อไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด ปรากฏว่าโทรศัพท์หมายเลขที่คุณหมอท่านนั้นได้ให้ไว้ ใช้การไม่ได้อีก โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องด่วนนัก ขืนเป็นเรื่องด่วน ก็คงลำบาก

อันที่จริงแล้วทางโรงพยาบาลมีมาตรการอื่นอยู่แล้ว หากติดต่อแพทย์เจ้าของไข้ไม่ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจริงๆ แพทย์เฉพาะทางที่อยู่ในโรงพยาบาลในขณะนั้นแหละ ที่จะถูกพยาบาลตามตัว ตัวพยาบาลเอง หรือทางโรงพยาบาลคงไม่ปล่อยให้คนไข้อยู่ในอันตรายแน่นอน

กลับเข้าสู่ประเด็นเรื่องโทรศัพท์กันต่อดีกว่า ดิฉันว่าช่วงนี้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ สองสามครั้งแล้วนะคะ แปลกดี ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น ลำบากเหมือนกัน หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา ตอนที่ดิฉันพยายามติดต่อหมอยิ่งแล้ว เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาเป็นอย่างมาก เคยไหมคะ โทรติดต่อใครแล้ว โทรไม่ติดเนี่ย (ถ้าเป็นแฟนกัน ก็คงงอนไปหลายวันแล้วล่ะ)

หลายวันก่อน ตอนที่คุณปู่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ดิฉันก็ถกประเด็นเรื่องนี้กับท่านอยู่ ท่านอายุ84ปีแล้ว แต่เชื่อไหมคะ ว่าคุณปู่เป็นโรคติดโทรศัพท์มือถือเหมือนกัน (คุณปู่ของดิฉันท่านทันสมัยมิใช่เล่น ว่างๆ ท่านก็ชวนคุย แล้วก็สอนภาษาอังกฤษไปด้วย ) ตอนที่นอนป่วยอยู่ ก็ไม่ยอมให้โทรศัพท์มือถืออยู่ห่างตัวเลย ลูกๆหลานๆแต่ละคนก็เป็นงงสิคะ

ท่านคุยจนแบตเตอรี่หมดค่ะ ตอนที่แบตฯ หมดท่านล่ะหงุดหงิด อย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่รอสายชาร์ท ละก้อ โห!! ซึมไปเลย ดิฉันนี่แหละ ต้องชวนพูดชวนคุยเรื่อยเปื่อย ท่านบ่นให้ฟังเรื่องที่ไม่ยอมกลับไปเอาสายชาร์ทมาให้ ดิฉันก็เลยถามท่านว่า สมัยก่อนตอนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือล่ะ เราติดต่อกันยังไง ? (อันที่จริงในห้องพักของคนไข้ ก็มีโทรศัพท์ค่ะ แต่ดิฉันไม่ให้ท่านใช้เองแหละ ) ท่านก็เถียงว่า มันคนละยุคคนละสมัยกัน

ดูสิคะ คนอายุขนาดนั้นยังติดโทรศัพท์มือถือ บางคนก็ใช้โทรศัพท์เหมือนกับเป็นของเล่น บ้างก็บอกว่าโทรศัพท์คือปัจจัยสำคัญในชีวิต ส่วนตัวดิฉันเอง บ่อยครั้งที่ลืมพกโทรสัพท์มือถือ ยิ่งวันหยุดยิ่งแล้ว ไม่เคยสนใจเลยค่ะ ลืมอยู่บ่อยๆว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน รู้สึกอยากเป็นอิสระค่ะ วันหยุดอยากจะพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากคุยเรื่องงานเลย ให้ตายเถอะ ทำให้ บ่อยครั้งที่คนโทรมารู้สึกหงุดหงิดจากการที่ติดต่อกับดิฉันไม่ได้

โทรศัพท์ออกมาใหม่เยอะแยะไปหมด ตามรุ่นไม่ทัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ไม่เหมือนโทรศัพท์เลย หน้าที่การใช้งานมากกว่าเป็นโทรศัพท์ธรรมดา ที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสาร บางคนคุยกับคนที่อยู่ปลายสายมากกว่าคนที่อยู่ข้างกายเสียอีก

เมื่อก่อนเทคโนโลยีไร้สาย ไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวนั้นใกล้ชิดกว่าผู้คนในสมัยปัจจุบัน แต่พอเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามา ความสัมพันธ์ในครอบครัวกลับห่างเหินมากขึ้นทุกวันๆ

สรรพสิ่งทุกสิ่งนั้นมีทั้งด้านดี และด้านไม่ดี ใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์เหลือหลาย แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็ย่อมจะเป็นโทษต่อตัวผู้ใช้อยู่แล้ว เหมือนเหรียญนั่นแหละค่ะ เหรียญมีสองด้าน สรรพสิ่งในโลกก็เช่นกัน

ฉันใดก็ฉันนั้น..

Wednesday, May 17, 2006

..ผลประโยชน์..

หลายคนคงเคยเดินทางไปจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาแล้ว ..

ปกติแล้วการเดินทางไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ จำเป็นต้องใช้ทางหลวงที่ผ่านจังหวัดสระบุรี สังเกตกันไหมคะว่า ทางหลวงสายนั้น ไม่ได้ราบเรียบสมกับเป็นทางหลวงแผ่นดินเลย

โดยเฉพาะเส้นทางบริเวณที่ต้องผ่านช่องเขา ช่องทางด้านซ้ายมือสุดจะเป็นร่องลึกลงไปเป็นแนวยาว คาดว่ามีเหตุเนื่องมาจาก รถบรรทุกแน่นอน ดิฉันไม่เลือกใช้ช่องทางดังกล่าวค่ะ แต่เลี่ยงไปใช้ช่องทางด้านขวามือดีกว่า เพราะการขับรถบนถนนที่ไม่เรียบนั้น อย่างแรก รถเราจะพังเร็ว อีกประการหนึ่ง ก็คือันตรายต่อผู้ขับขี่เอง อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ

หงุดหงิดเหมือนกัน กับการที่ต้องขับรถในถนนลักษณะดังกล่าว แต่คำถามมีอยู่ว่า จะไปหงุดหงิดกับใคร เวลานั้นก็ได้แต่บ่นเท่านั้น (จริงๆ บางคนอาจจะเรียกได้ว่า “ด่ากราด” ไปทั่วได้เช่นกัน เหมือนอย่างดิฉันเป็นต้น)

เราจะเห็นว่าถนนหนทางในบ้านเรา ถูกกลบ ถูกขุด ถูกปรับปรุง ทำแล้วทำอีก ไม่มีวันสิ้นสุด เดินทางไปไหน ไปทิศทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝน ถนนก็ยังถูกขุด ถูกกลบ ไม่รู้จักเสร็จจากสิ้นเสียที ดิฉันมานั่งคิดว่า ถนนบ้านเราไม่ได้มาตรฐานกระนั้นหรือ? หรือไม่คนที่ใช้รถ ใช้ถนน ก็ไม่รู้จักรักษาถนน กัน

ทางหลวงที่เป็นเส้นทางไปยังจังหวัดสระบุรี แทบทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า โดยรอบของทางหลวงสายนั้นเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย และแน่นอนว่ามีรถบรรทุกเทียวเข้า เทียวออกอยู่มิได้ขาด ปกติแล้วหน่วยงานราชการกำหนดมาตรฐานเรื่องการบรรทุกน้ำหนักของรถแต่ละคันอยู่แล้ว

ระหว่างที่เดินทางนั้นดิฉันก็สังเกตเห็นด่านตรวจเรื่องการบรรทุกของรถประเภทนี้ด้วย ขับรถไปก็งงไปว่า ทั้งๆที่ตรวจแล้ว แต่ทำไมถนนก็ยังชำรุดจากรถบรรทุกอีก ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าให้บรรทุกไม่เกินกี่ตันแล้ว จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ที่กำหนดไว้สองตัน แต่มีผู้เรียกร้องว่าให้เพิ่มขึ้นเป็นสามตันด้วยซ้ำ เนื่องจากข้ออ้างที่ว่า ไม่อยากจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มอีก ( งบประมาณบำรุงถนนหนทางกับเรื่องน้ำมันนี่ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า อันไหนมากอันไหนน้อย)

เรื่องรถบรรทุก บรรทุกน้ำหนักเกินนั้นก็เป็นประเด็นหนึ่ง ดังที่บอกไป แต่เท่านั้นยังไม่พอ รถบรรทุกแต่ละคันโดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อบรรทุกของ มักจะไม่คลุมสิ่งที่ตัวเองบรรทุกไว้ ดิฉันไม่ค่อยกล้าขับรถตามรถบรรทุกค่ะ บางคัน บรรทุกหิน แต่ไม่มีผ้าคลุม หินกระเด็นกระดอนมาโดนกระจกรถก็มี วันก่อนก็โดนค่ะ แต่โชคดีขับรถไม่เร็วนัก กระจกไม่แตก นี่ถ้าใช้ความเร็วมากกว่านี้ กระจกแตกแน่ๆ และรถบรรทุกคันนั้นคงไม่รับผิดชอบแน่ๆเหมือนกัน

แย่นะคะ ว่าทางราชการไม่มีมาตรการที่เข้มงวด สำหรับการตรวจตรา เรื่องดังกล่าว ด่านตรวจมีไว้เพื่ออะไร สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ หากไม่รู้จักใช้ให้คุ้มค่า กฏหมายที่บัญญัติขึ้นมา ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่เคารพกฏหมาย ผู้รักษากฏหมายก็มีอยู่แต่ถ้าไม่รู้จักทำหน้าที่ของตนเองให้ดี บ้านเมืองก็คงวุ่นวายอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

ผลประโยชน์น่ะ ทุกคนก็ต้องการทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน แต่ผลประโยชน์นั้น หากได้มาแล้ว สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องร่วมชาติ ร่วมโลกอีกมากมาย คนที่ได้รับผลประโยชน์นั้นคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขแน่ๆ

ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก ดำเนินชีวิตให้เป็นสุขโดยไม่สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่น น่าจะดีกว่า

จริงมั้ยคะ ..

Tuesday, May 16, 2006

..เที่ยวเขาค้อ ตอนจบ..

เล่าเรื่องเขาค้อต่อดีกว่าค่ะ ..

หลังจากที่ได้ชมความงามของพระจันทร์ในคืนเดือนหงายไปแล้ว ก็เข้านอนด้วยความสบายใจ รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาชมพระอาทิตย์รุ่งอรุณ เสียดายไม่ทันได้เห็น ตื่นหกโมงครึ่ง พระอาทิตย์ไม่รอดิฉันแล้วค่ะ

กระนั้นก็ตามพวกเราออกไปเดินชมธรรมชาติดีกว่า เดินไปรอบๆรีสอร์ทเหยียบพื้นหญ้าบ้าง แค่มองน้ำค้างยามเช้าบนยอดหญ้า ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั้งวี่ทั้งวันแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ชมความน่ารักของบ้านแต่ละหลัง บางหลังมีระเบียงยื่นออกไป ใกล้หน้าผา บ้านบางหลังถูกดัดแปลง ให้มีความคล้ายกับเสลี่ยงที่เคยใช้เทียมเกวียนในสมัยโบราณ บ้านพักในลักษณะนี้ตั้งอยู่บริเวณนั้นหลายหลัง ดิฉันคิดว่าเจ้าของรีสอร์ทคงจะดัดแปลงให้คล้ายกับแคมป์ไฟแน่ๆ ดิฉันคิดว่าบริเวณนี้น่าจะเหมาะกับแขกหนุ่มๆสาวๆ ที่มากันเป็นกลุ่มและชอบนอนเต้นท์

พนักงานที่รีสอร์ทบอกว่า อากาศที่นี่เย็นสบายทั้งปี เพราะอยู่ในหุบเขา ดิฉันบอกว่า ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเยือนอีกแน่นอน (จริงๆอยากย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ )

สายๆแล้วหลังจากรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว (อ้อ! ลืมบอกไปตั้งแต่ตอนแรกว่า ห้องอาหารของที่นี่ชื่อ “ห้องอาหารแคมป์สน” ) เราเริ่มดูแผนที่ว่าควรจะไปที่ไหนกันต่อ และแล้วก็ได้ข้อตกลงกันว่า ไปเที่ยวบนยอดเขาค้อดีกว่า หนทางที่เดินทางจะเป็นทางขึ้นเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ระยะทางจากรีสอร์ทไปถึงที่นั่น ๔๕ กิโลเมตรโดยประมาณ ขับรถไปเรื่อยๆ บางช่วงถนนที่สามารถใช้ความเร็วที่ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เลี้ยวไม่ทัน ต้องหันหัวรถกลับไปอีกครั้งก็มี

พวกเราเดินทางขึ้นไปถึงที่หมายคือ บนยอดเขาค้อ ซึ่งที่นั่นมีอนุสาวรีย์ของทหารและผู้เสียสละในสมรภูมิรบบนเขาค้อในสมัยอดีต ยังมีพิพิธภัณฑ์อาวุธ ให้ได้ชมเพื่อประดับความรู้กันด้วย จากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปยังพระตำหนักเขาค้อ มองไปจากจุดชมวิว เห็นทะเลภูเขาสุดลูกหูลูกตา อากาศในแต่ละแห่งที่ไปมีลมเย็นๆพัดมาให้ชื่นใจ ถึงแม้จะมีแดดมาโลมเลียเป็นระยะๆ แต่แดดที่นั่นไม่ร้อนเท่าแดดในเมืองหลวง เอ!!หรือว่าดิฉันคิดไปเองนะ

ไม่น่าเชื่อว่าภูเขาที่สูงอย่างเขาค้อจะมีเสน่ห์และ ทำให้ดิฉันขึ้นมาเยือนได้ ยอดเขาที่สูงและชัน การขับรถต้องใช้เกียร์ ๑ ด้วยซ้ำ กระนั้นดิฉันก็ยังอาจหาญขับขึ้นไปที่นั่นจนได้

สมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราก็ลงมาจากยอดเขา ขณะนั้น ดูเหมือนเป็นเวลาที่เมฆสีเทาเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา ถึงเวลาที่ท้องเริ่มร้อง ดิฉันตัดสินใจไปรับประทานอาหารที่รีสอร์ทดีกว่า โชคดีค่ะ พอจอดรถแล้ว เดินขึ้นไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร เสียงกรุ้งๆ กริ้งๆ เริ่มมาแล้ว เหมือนส่งสัญญาณบอกว่าฝนกำลังจะตก ไม่น่าเชื่อ ฝนตกตอนที่เราเริ่มลงมือรับประทานอาหารมื้อกลางวันพอดี

ใช้เวลากับอาหารมื้อนั้นไม่นานนัก ได้เวลาฝนหยุดตก คนที่นั่นบอกว่า ฝนตกทุกวันเป็นแรมเดือนแล้ว แต่วันที่ดิฉันไปที่นั่นอากาศดีมาก ฝนตกแต่ละครั้งไม่นานนัก และพวกเราก็ไม่เคยเปียกฝนสักครั้ง ดังนั้นถือเป็นความโชคดีเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจ กับการไปพักผ่อนในครั้งนี้

เย็นวันนั้นขอถือโอกาสโอกาสเดินสำรวจ และซึมซับความงามของหุบเขาแห่งนี้ไว้ในความทรงจำอีกสักครั้ง หนทางที่เดินไปถึงแม้จะเป็นทางขึ้น ทางลงภูเขาก็ตาม เส้นทางที่เดินอาจจะทำให้เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย การเดินช้าๆ กลับทำให้เราได้สัมผัสความงามของธรรมชาติได้เต็มที่

รุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ถึงเวลาที่ต้องอำลาเขาค้อ และกลับไปสู่โลกแห่งความจริงๆกันเสียที สี่ชั่วโมงกับการเดินทางกลับมานั้น ไม่ได้เสียเวลามากเลย เวลาไม่นานนัก ทำให้ได้ดิฉันเปรียบเทียบสถานที่สองแห่งนี้ นั่นคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษซึ่งเป็นความจริงที่เราได้สัมผัสอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นโลกที่เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ มนต์เสน่ห์ของเขาค้อยังคงตราตรึงอยู่ในใจของดิฉัน และรอวันที่จะกลับเข้าไปเยือนอีกครั้งหนึ่ง

หวังว่า..คงมีสักวัน ..


( ภาพ : Brothers โดย Zolan Richard )

Monday, May 15, 2006

..เที่ยวเขาค้อ ตอนที่ 1..

ท่านผู้อ่านโหยหาวันหยุดกันบ้างรึเปล่าคะ ? ..

บางคนอาจจะบอกว่า เพิ่งหยุดยาวมาหยกๆ จะมาโหยหาวันหยุดอีกทำไม

รู้สึกเหมือนกันบ้างไหมว่า ทั้งๆที่หยุดหลายวัน แต่พอถึงกำหนดที่ต้องทำงาน พวกเรายังไม่มีแก่ใจที่จะกลับไปทำงาน กลับโหยหา และไม่อยากให้วันหยุดนั้นผ่านล่วงไปเลย วันหยุดมีไว้เพื่อให้เราพักผ่อน เตรียมร่างกายที่จะกลับมาลุยงานหนักเหมือนเดิมได้เต็มที่ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้แบตเตอรี่ บางครั้งเราต้องหยุดพักการใช้งานชั่วคราว เพื่อเต็มพลังงานให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นๆ ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนกับร่างกายของมนุษย์เรา ถ้าหักโหม ไม่หยุดพักเสียบ้าง ร่างกายก็คงไปต่อไม่ไหวเป็นแน่

วันหยุดที่ผ่านมา หลังจากครบรอบวันเกิด ด้วยความที่มีแพคเกจท่องเที่ยวอยู่ในครอบครอง ๒ ใบ ระหว่างทะเลกับภูเขา คุณจะเลือกไปที่ไหน หลายคนคงคิดคำตอบในใจว่า ทะเล ดิฉันก็เช่นกัน ครั้งแรกที่คิดไว้คือไปเที่ยวทะเลดีกว่า เพราะมีแพคเกจของโรงแรมโนโวเทล ริมเพ ด้วย แต่พอจองเวลาที่จะไปพักผ่อนที่นั่นปรากฏว่า ห้องเต็มหมด เพราะเป็นช่วงเทศกาล พอดี ดังนั้นอีกหนึ่งแพคเกจก็เป็นหนทางสุดท้ายที่ต้องเลือก นั่นก็คือไปเที่ยวภูเขา

ดิฉันไม่เคยขับรถไปในเส้นทางที่ไม่เคยไป ที่นี่เคยไปแล้ว แต่ไปเมื่อ๒๑ปีที่แล้ว สถานที่ว่านั่นก็คือ เขาค้อ ค่ะ พวกเราไปพักที่ เขาค้อวาเล่ย์ ระหว่างที่ขับรถไป จะดูแผนที่และสังเกตหมายเลขของทางหลวงตลอด คอยดูหลักกิโลเมตรเป็นระยะๆ ดูว่าจะต้องเลี้ยวตรงแยกไหน ระหว่างทางที่ขับรถไป ถึงแม้ว่าจะเป็นทางขึ้นภูเขา แต่ดิฉันก็สังเกตเห็นต้นไม้ที่ดูสมบูรณ์งดงามอยู่ทั่วภูเขา เชื่อแล้วล่ะค่ะว่า สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยอยู่ที่นี่เอง

บ่อยครั้งที่เราตั้งหน้าตั้งตาเดินไปสู่จุดหมาย โดยที่ไม่สนใจความสวยงามของสองข้างทาง และแล้วกว่าจะรู้ตัวเราก็จะพลาดบางสิ่งบางอย่างไปโดยที่เราย้อนกลับไปในเวลานั้นไม่ได้อีกแล้ว

พูดถึงรีสอร์ทที่ไปพักกันต่อดีกว่า ดิฉันมาทราบในภายหลังว่า รีสอร์ทแห่งนี้เปิดมาเป็นเวลา ๓๐ ปีเห็นจะได้ ดิฉันเชื่อค่ะ เพราะต้นไม้ดูสมบูรณ์มาก ที่นี่ทำบ้านพักมีทั้งหลังเล็ก และหลังใหญ่ บ้านแต่ละหลังมีชื่อเรียกเช่น ชมตะวัน เคียงดาว จันทร์ผา เป็นต้น ทำเลของบ้านแต่ละหลังอยู่บนภูเขา เนินเขา หรือไม่ก็ที่ราบใกล้กับทะเลสาบ ห้องอาหารจะอยู่ข้างบนเนินเขา ถ้าอยากออกกำลังขาก็ต้องเดินไป แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ขับรถขึ้นไป

ดิฉันว่าเจ้าของรีสอร์ท นี้ทำรีสอร์ทด้วยใจ ต้นไม้แต่ละต้นได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี บ้านแต่ละหลังถึงแม้จะไม่มีแขกมาพักก็ได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่ กระจกแต่ละบานไม่มีฝุ่นเกาะเลย

จากการที่เข้าพักที่นี่ สามวัน สองคืน พวกเรารับประทานอาหารที่นี่แทบทุกมื้อ อาหารที่แนะนำในเมนู เช่น ยอดฟักแม้วผัดน้ำมันหอย ฟักแม้วผัดไข่ หรือไม่ก็ ไก่ทอด (ไก่ทอดของที่นี่อร่อยมากๆ ขอบอก) และอื่นๆอีกมากมาย ห้องอาหารที่อยู่บนเนินเขา ทำให้พวกเรามองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้ ไกลออกไปจะเห็นภูเขาลูกอื่นๆ บนห้องอาหารนี้ติดโมบายระฆังเล็กเสียงกรุ้งๆกริ้งๆ ฟังดูคล้ายๆกับเวลาที่เราไปเดินเที่ยวบริเวณวัดพระธาตุดอยสุเทพยังไงยังงั้น


แค่นั่งรับประทานอาหารก็รู้สึกดื่มด่ำและถูกกลืนเข้ากับกับบรรยากาศธรรมชาติ จนไม่อยากกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงเอาเสียเลย ยิ่งคืนเดือนหงาย พระจันทร์บนภูเขาช่างสวยสดงดงามเหลือเกิน มองพระจันทร์ มองแล้วก็ต้องมองอีก เหมือนต้องมนตรา อากาศเย็นๆ พระจันทร์สวยๆ งดงามเกินจะเอ่ย ไม่อยากให้เวลาแห่งความสุขเช่นนั้นผ่านไปเลย

เฮ้อ!! ทำไงได้ล่ะ.. เนาะ ..

(เรื่องของเขาค้อ ยังมีต่อนะคะ)



( ภาพ : Summer Swing โดย Zolan Richard )

Thursday, May 11, 2006

..Make A Wish..


กำลังนึกย้อนกลับไปในปีก่อนๆว่าตัวเองทำอะไรในวันเกิดบ้าง ..

คุณๆ ทำอะไรเป็นพิเศษให้ตัวเองกันบ้างคะ ในวันครบรอบคล้ายวันเกิด ?

หลายคนอาจจะตื่นขึ้นมาใส่บาตรแต่เช้า หรือไม่ก็ไปทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเองต่อไป หลายคนอาจจะไปกราบที่หน้าตักพ่อและแม่ที่ให้กำเนิดตัวเองมา และหลายคนอาจจะไปเที่ยว พักผ่อน และบางคนถ้าไม่สามารถหยุดงานได้ก็ต้องทำงานเป็นปกติ เหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งของชีวิต

ปีที่แล้วดิฉันจำได้ว่า มาเขียนบันทึกในเวลาตี4ครึ่ง ซึ่งเวลานั้นคิดว่าเป็นวันครบรอบวันตกฟากของตัวเอง (ก็ยังสงสัยอยู่จนกระทั่งบัดนี้ว่า ทำไมจึงใช้คำว่า “ตกฟาก”หนอ? น่าจะใช้คำว่า “ตกฟูก” มากกว่า อิอิ) จากนั้นก็ใช้เวลาพักผ่อน ทบทวนเรื่องการใช้ชิวตของตนเอง ไปทำบุญบริจาคโลงศพบ้าง ช่วงเย็นก็ไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ กับใครบางคน ซึ่งใครคนนั้นก็เป็นคนใกล้ชิดที่สุด ณ เวลาขณะนี้ ค่ำๆ ก็ไปดูดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ดิฉันจำได้ว่ายังได้ดอกลิลลี่เป็นของขวัญวันเกิดในปีที่แล้วอยู่เลย

และในขณะเดียวกัน ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว เพื่อนๆ ต่างก็อวยพรวันเกิด ยังนึกถึงและซาบซึ้งจนกระทั่งบัดนี้ ดีใจที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่ลืม วันคล้ายวันเกิดของเรา

ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ ตั้งใจไปเที่ยว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ไปตามอย่างที่ตั้งใจหรือไม่ สองสามวันที่แล้วคุณปู่ซึ่งปกติแล้วท่านมีสุขภาพแข็งแรง แต่มีเหตุต้องล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล แน่นอนว่า เมื่อมีใครสักคนในครอบครัวป่วยไข้ หรือล้มหมอนนอนเสื่อ ทุกคนในครอบครัวต้องวิตกกังวลกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนโดยทั่วไป

จริงอยู่ทุกคนรู้อยู่ว่าสังขารย่อยร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงคุณปู่ไม่ได้ ดังนั้น สามสี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่เลิกงานจากการดูแลคนไข้ที่แผนกของตัวเอง ก็ต้องไปดูแลคุณปู่ เวลาพักผ่อนก็น้อยลงไป บางวันแทบจะไม่ได้นอน รุ่งเช้าก็ต้องไปทำงานต่อ

จากคนที่เอาอกเอาใจใครไม่เป็น ดิฉันต้องบังคับให้ตัวเองเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นมากๆ การดูแลคนแก่เหมือนการดูแลเด็กค่ะ ความอดทนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โชคดีที่ดิฉันมีคนใกล้ชิดช่วยเป็นกำลังใจ

วันเกิดปีนี้เพื่อนๆถามว่าไปฉลองที่ไหน เพราะเห็นหยุดหลายวัน ดิฉันตอบเพื่อนๆว่า ฉลองกับปู่ในโรงพยาบาลนี่แหละ ปีนี้ ไม่ต้องการของขวัญอะไรมากนัก สิ่งที่ต้องการที่สุดในเวลานี้คือ อยากให้คุณปู่แข็งแรงในเร็ววัน

11 พฤษภาคม ..Happy Birthday to me..to me


( ภาพ : Buddies โดย Zolan Richard )

Monday, May 08, 2006

..มาเฟียนอกเครื่องแบบ..

เดี๋ยวนี้ประเทศเรามีสมาคมอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ..

ทุกวงการก่อตั้งสมาคมของตัวเองขึ้นมา บ้างก็เป็นสมาคมนักเขียน นักข่าว บ้างก็เป็นสมาคมช่างภาพ สมาคมแม่บ้านขององค์กรต่างๆ สมาคมที่เกี่ยวข้องกับวงการสุขภาพบ้าง และอื่นๆอีกมากมาย

ถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังสมาคมแต่ละแต่ละแห่งก็ต้องหาเงินให้กับสมาคมของตัวเอง บ้างก็ตั้งกฏขึ้นมาว่าจะมีเงินเข้ามาจากที่ไหนบ้าง ส่วนใหญ่ก็มักจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน บางสมาคมก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบราชการ ดังนั้นพวกที่ทำงานให้กับสมาคมก็ได้รับค่าจ้างจากหน่วยราชการอยู่แล้ว

สมาคมบางสมาคมก็มีผลประโยชน์ร่วมกันกับบริษัทเอกชน โดยเฉพาะ สมาคมที่เกี่ยวข้องกับวงการสุขภาพ ดังที่เห็นกันอยู่ว่า โลกเราทุกวันนี้มีนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย การจัดการประชุมก็เกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้ง เป็นที่แน่นอนว่าการประชุมแต่ละครั้งก็ต้องมีผู้สนับสนุนรายการ และทุกขั้นตอนเสียด้วยสิ ลูกค้าไม่มีที่นอนก็ต้องจองโรงแรมและออกค่าโรงแรมให้ด้วย แต่ต้องผ่านสมาคมนะคะ (ไม่รู้ได้ค่าหัวคิวรึเปล่าเนาะ?!!?)

บางสมาคมกำหนดตัวเลขไว้เลยว่า แต่ละบริษัทต้องสนับสนุนเป็นจำนวนเงินเท่าไร บางสมาคมบอกว่าบอกว่างบติดลบ พร้อมกับไม่ชี้แจงเหตุผล ผู้สนับสนุนที่มีข้อสงสัยอาจจะถูกย้อนถามกลับไปว่า “แล้วจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่?”

ใครที่เคยมาพบคุณหมอตามโรงพยาบาลก็เช่นกัน คงเคยเห็นผู้แทนจากบริษัทยา หรือเครื่องมือแพทย์ทั้งหลายที่ไปนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจเช่นเดียวกับคนไข้ที่รอการตรวจจากคุณหมอ ผู้แทนเหล่านี้ก็จะรอจังหวะ (ดักรอ)เข้าไปขายสินค้าจากบริษัทของตน บางคนก็ทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ขายสินค้าของตนเองได้ เชื่อไหมคะว่าพวกหมอสามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับบริษัทเหล่านี้ได้

ทางบริษัทเอกชนเหล่านี้คงต้องปลงค่ะ ไม่ไม่วิธีอื่นที่จะทำได้ มีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วนี่คะ การสนับสนุนให้กับองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทของตัวเองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้

ฟังดูแล้วนึกถึงอะไรกันคะ ดิฉันเองนึกถึงพวกมาเฟียค่ะ พวกนี้มีทุกวงการเลยนะคะ เห็นในภาพยนตร์พวกมาเฟียน่ะโหงวเฮ้งบอกเลยว่าตัวเองเป็นมาเฟีย แต่สำหรับชีวิตจริง มาเฟียนอกเครื่องแบบมันมีเยอะค่ะ

ท่านผู้อ่านคงตั้งคำถามในใจว่า ในเมื่อต่างคนต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน แล้วจะมีใครที่เดือดร้อนล่ะ บางคนก็คงมีคำตอบในใจแล้ว แต่ถ้าหากว่าใครที่ยังคิดไม่ออก ดิฉันบอกให้ก็ได้ค่ะว่าผู้ที่ใช้บริการไงล่ะคะ คนที่เจ็บป่วยทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม ค่ายา ค่าเครื่องมือทั้งหลายที่คนเจ็บคนป่วยจำเป็นต้องใช้นั่นแหละ ค่ะ

ตอนนี้คงถึงบางอ้อกันแล้ว จากคำถามที่เคยมานั่งถามกันว่า ค่ายา หรือค่าเครื่องมือต่างๆทำไมมันถึงได้แพงขึ้นทุกวี่ทุกวัน ก็เพราะบริษัทผู้ผลิต หรือถ้าหากผลิตในประเทศไม่ได้ ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นี่แหละค่ะ ขั้นตอนมันเยอะ และทุกขั้นตอนก็เป็นเงินเป็นทองเสียด้วยสิ คิดง่ายๆ ทุกขั้นตอนได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนคนที่เสียทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือ ผู้บริโภคนั่นเอง

คิดในแง่บวกก็ได้นะคะ ว่าผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน

หายจากการการเจ็บการป่วยยังไงล่ะคะ ..

Tuesday, May 02, 2006

..เหนื่อย..


ช่วงนี้กลับมาจากงานแล้วแทบสลบ ..

บางวันเลิกงานแล้วนอนดูทีวี เผลอหลับหน้าทีวีก็มี เอ!!หรือว่าเป็นเพราะสังขาร คิดไปคิดมาไม่น่าจะใช่ อายุก็ไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าแก่หงำเหงือก

เมื่อพิจารณาหลายตลบแล้ว ดิฉันเหนื่อยมาก กับการทำงานเพราะลักษณะงานบริการของสมัยนี้หนักกว่าสมัยก่อนเยอะ ดิฉันจำได้เมื่อสมัยเรียน ยิ่งตอนที่ฝึกงานยิ่งแล้ว งานที่ทำล้วนแต่เป็นงานของพยาบาลจริงๆ อาจารย์ท่านเคยสอนว่างานของพวกเราเน้นการให้บริการแบบ professional job ไม่ใช่แบบ social job

ไอ้เจ้า professional jobกับ social job ฟังชื่อดู ก็เห็นว่ามันก็ต่างกันอยู่แล้ว เมื่อคนไข้ถูกเข้ามา ให้พวกเราดุแล งานของพวกเราก็คือดูแลคนป่วยจริงๆ ไม่ต้องมานั่งเจ๊าะแจ๊ะอะไรมากมายนัก คนไข้จะเห็นว่าหมอกับพยาบาล เป็นผู้ช่วยดูแลพวกเข้าให้หายและฟื้นจากอาการเจ็บ อาการป่วยไข้ทั้งหลาย ดังนั้นมิตรภาพระหว่างคนไข้หรือแม้กระทั่งญาติก็ตาม ซึ่งท่านเหล่านี้เป็นผู้มาใช้บริการ งานบริการสุขภาพ แต่ปัจจุบันนี้ จะเห็นว่า สถานการณ์เปลี่ยนไป งานบริการด้านสุขภาพมันจะมีทุกอย่างมารวมกัน งานจะเน้นด้านการประสานงานมากขึ้น หลายครั้งที่ การประสานงานจะเปลี่ยนเป็น "การประสานงาน" ทั้งประสานงา กับแผนกอื่นหรือไม่ก็ผู้มาใช้บริการก็ตาม

หลายปีที่แล้ว คนไข้จะเป็นมิตรกับพวกเรามากกว่านี้ หลายท่านที่หายจากอาการเจ็บป่วย บ่อยครั้งที่แวะเข้ามาเยี่ยมพวกเรา ความสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับคนไข้ จะอบอุ่นกว่านี้ เมื่อเกิดปัญหาเรื่องใหญ่ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กลงมาได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ หลายต่อหลายครั้ง ปัญหาเรื่องเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้

เมื่อก่อนไม่มีระบบคุณภาพเข้ามาตรวจสอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่ได้ทำงานไม่มีคุณภาพ ที่พูดนี่ไม่ได้ต่อต้านระบบการตรวจสอบคุณภาพหรืออะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา เนื่องจากตนเองทำงานมาเป็นเวลานานพอสมควรและไม่เคยเปลี่ยนที่ทำงาน ดังนั้นจึงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้

จริงอยู่ การแข่งขันระหว่างธุรกิจสุขภาพในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ และดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้นทุกวี่ทุกวัน สิ่งแรกที่ลูกค้าคำนึงถึงก็คือคุณภาพการบริการ โรงพยาบาลแต่ละแห่งก็เน้นในเรื่องนี้กันมาก แต่ที่ต่างกันก็คือ value added ที่เพิ่มขึ้นมา หลายสิ่งที่รวมอยู่ใน value added นี่แหละที่ทำให้พวกเราเครียด อีกประการหนึ่งฟันเฟืองที่สำคัญ ในองค์กรก็คือ แผนกการตลาดขององค์กร

เราจะเห็นว่าแทบทุกโรงพยาบาลจะมี package อะไรต่างๆขึ้นมาเป็นส่วนประกอบของแผนการตลาด เพื่อจะเป็นข้อเสนอที่จะเพิ่มยอดผู้มาใช้บริการ ซึ่งบ่อยครั้งก็ทำให้ผู้มาใช้บริการและผู้ให้บริการสับสนในประเภทขององค์กรเอง และแยกไม่ออกว่าเป็น package รักษาโรค หรือ package ท่องเที่ยวกันแน่ อันที่จริง ไม่มีเรื่องท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่ระบบทำให้ผู้เกี่ยวข้องสับสน บ่อยครั้งผู้มาใช้บริการจะคิดว่า พวกเราคือพนักงานโรงแรม ก็เห็นใจนะคะ ในเมื่อจ่ายเงินมาก ก็ต้องเรียกร้องบริการให้คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป บางคนใช้บริการแบบ คุ้มเกินคุ้มด้วยซ้ำ แฮ่!!

เอ!!กำลังนึกทบทวนอยู่ว่า เวลาไปเที่ยวแล้วพักตามโรงแรมเนี่ย เราเรียกร้องอะไรแบบนี้หรือเปล่า จริงๆเวลาไปใช้บริการที่ไหน ก็จะคำนึงถึงใจเขาใจเราเหมือนกันนะ

อีกประการหนึ่ง ทางโรงพยาบาลจะมีข้อเสนอเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ และลูกค้าก็จะมีข้อเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ผู้ที่ลำบากก็คือผู้ปฏิบัติ

เฮ้อ!! ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ แล้วถึงจะลำบากแค่ไหน เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ ตามกลไกของสังคม .. เนาะ ..


( ภาพ : Earth and Clay โดย Barton Dawna )