Sunday, April 30, 2006

..ทางม้าลาย..


ดิฉันเป็นคนที่ไม่ชอบเดินข้ามถนน..

ถ้าจำเป็นต้องข้ามถนน ระหว่างข้ามสะพานลอยกับข้ามถนนตรงทางม้าลาย ขอเลือกข้ามตรงสะพานลอยดีกว่า ทนเหนื่อยสักนิดการขึ้นแล้วนับขั้นบันไดบริเวณสะพานลอย (คุณๆ เคยนับกันบ้างรึเปล่าว่า สะพานลอยแต่ละแห่งมีบันไดทั้งหมดกี่ขั้น อิอิ ) ดิฉันว่ามันปลอดภัยกว่าเยอะ กรณีที่เป็นเวลากลางวันนะคะ แต่ถ้าข้ามถนนเวลากลางคืนนี่อีกเรื่อง การระมัดระวังตัวก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ถ้าบริเวณถนนที่เราข้ามไม่มีสะพานลอย เราก็จำเป็นต้องพึ่งพาทางม้าลายแน่นอน ดิฉันเห็นบางคนไม่ชอบข้ามถนนตรงทางม้าลาย นึกอยากจะข้ามตรงไหนก็ข้าม แถวๆอนุสาวรีย์ชัย เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วที่คนไม่ค่อยจะข้ามถนนตรงสะพานลอย จริงๆ ทางม้าลายก็มี แต่ก็ไม่ข้าม เห็นแล้วหวาดเสียวแทน

อาจเป็นเพราะว่า คนที่เคยพึ่งพาทางม้าลาย พอเปรียบเทียบกับการข้ามถนนบริเวณที่ไม่มีทางม้าลาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเท่าไรนัก รอข้ามตรงทางม้าลาย รถก็ไม่หยุดให้คนข้าม อันตรายพอกัน

สองสามวันก่อน ไปทำธุระแถวสยามสแควร์ หาที่จอดรถแทบแย่ วนแล้ววนอีก แต่ก็ไม่มีที่จอดรถ ไปๆมาๆ ต้องวนออกไปแถวถนนอังรีดูนัง โชคยังดีที่มีที่จอดรถข้างทาง ติดกับเกาะกลางถนน เลยจอดแถวนั้น จะมาที่สยามสแควร์ก็ต้องข้ามถนน สิคะ บริเวณนั้นมีทางม้าลาย แต่ต้องเดินไปอีกประมาณ 10เมตร ดิฉันยอมเดินไปข้ามทางม้าลายค่ะ แต่กว่าจะข้ามได้ ก็แทบแย่

สาเหตุที่ดิฉันเลือกข้ามถนนตรงทางม้าลาย เนื่องมาจากความคิดที่ว่า หากโชคร้าย มีรถวิ่งเข้ามาชนเรา จะตายก็ขอตายอยู่บนทางม้าลายนี่แหละ เพราะถ้าไม่เลือกข้ามถนนตรงทางม้าลาย อยู่ๆ รถวิ่งมาจากไหนก็ไม่ทราบ เหยียบห้ามล้อไม่ทัน ถูกรถชนโครมเข้าให้ เราจะไปเอาผิดกับใครล่ะคะ

เฮ้อ!! นับวันก็ยิ่งแปลกนะคะ บ้านเราในยุคนี้สมัยนี้ คนมีน้ำใจเนี่ยหายากมากขึ้นเรื่อยๆ รถแต่ละคันรีบวิ่งแข่งกันไปให้ถึงจุดหมาย ยิ่งช่องทางด้านขวามือสุด บริเวณที่ดิฉันกำลังจะก้าวเท้าเหยียบไปบนถนนยิ่งแล้ว รถเหมือนวิ่งอยู่บนสนามแข่งรถยังไงยังงั้น แย่นะคะ ถนนเมืองไทย หลายประเทศ ถ้าขับรถไปบริเวณถนนที่คาดทับด้วยทางม้าลาย คนที่ขับรถมักหยุดรถให้คนข้ามก่อนเสมอ

ยอมรับค่ะว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใจร้อน และขับรถเร็ว แต่เมื่อถึงทางม้าลายแล้ว หากมีคนข้าม ดิฉันก็มักจะหยุดรถให้คนข้ามก่อนเสมอ แปลกใจที่เราทำได้ แต่ทำไมคนอื่นทำกันไม่ได้

อย่างที่บอก น้ำใจในยุคนี้สมัยนี้นับวันยิ่งหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยที่อยู่กันแบบพึ่งพากัน แต่ละคนก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย เกิดเรื่องใหญ่ ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่เหมือนสมัยนี้ พอเกิดเรื่องบางเรื่อง ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องขึ้นได้

เดินทางออกจากบ้านแต่ละวันก็ยิ่งพบยิ่งเจอสิ่งที่ทำให้เครียดกันทุกวี่ทุกวัน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันก็เกิดจากความเห็นแก่ตัว ที่นับวันก็มีแต่เพิ่มขึ้น และจะมากขึ้นเรื่อยๆ

เป็นที่ทราบดีว่ายุคนี้ คือยุค Globalization (ดิฉันบังเอิญอ่านเจอจากหนังสือ “รอยเท้าเล็กๆของเราเอง” ที่เขียนโดย คุณวินทร์ เลียววาริณ บอกว่า Globalization แปลอย่างล้อเลียนว่า ก่อบรรลัยใส่ฉัน ดิฉันอ่านแล้วขำค่ะ ) และลัทธิบริโภคนิยม ก็จะแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แต่ทำไงได้คะ กลไกของสังคมเป็นอย่างนี้ไปเสียแล้ว เราเป็นแค่อณูเล็กๆของสังคม คงต้องยินยอมดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไป ค่ะ เพียงแต่ อย่าเป็นทาสของมันก็พอ

เอาเป็นว่า.. ปันน้ำใจให้กันสักนิด ดีมั้ยคะ ..

Friday, April 28, 2006

..ช่วยชาติ..

ช่วงนี้ไปทางไหนก็มีแต่คนบ่นร้อน ..

ก็มันร้อนจริงๆนี่คะ ท่านผู้อ่านขา ที่ว่าร้อนนี่ไม่ได้ร้อนใจนะคะ แต่ร้อนเพราะอากาศมันร้อนจริงๆ ช่วงนี้เห็นบอกว่าขั้วโลกเหนือเอียงเข้าหาพระอาทิตย์ มนุษย์โลกที่อาศัยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรจึงต้องรับอนิสงข์จากความแรงของแสงแดดไปตามๆกัน ก็อย่างที่เราๆท่านๆประสบอยู่นี่แหละ พอเห็นโลกร้อนๆอย่างนี้ ดิฉันคนหนึ่งล่ะอยากผลิตแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์แผงใหญ่ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด เสียดายไม่มีความรู้เรื่องนี้ พูดให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ เอาล่ะเราหยุดพูดถึงเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์กันดีกว่า เพราะพูดไปก็เซ็งเปล่าๆ

ดิฉันว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน ก็คือสิ่งที่ดิฉันกล่าวเอาไว้ตรงย่อหน้าข้างบนนี่แหละค่ะ ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ยิ่งทำให้โลกร้อนไปกันใหญ่ก็คือฝีมือของเราๆท่านๆ ที่รักความสะดวกสบาย ชอบกันนักกับความเย็นฉ่ำ ของเครื่องปรับอากาศ ไอเย็นของมันทำให้เราฉ่ำชื่นหัวใจไปด้วย แต่เคยไหมคะ ที่จะไปยืนหรือนั่งบริเวณ compressor หูย!! คุณขา อากาศตรงนั้นมันร้อนอย่าบอกใครเชียว บางคนอาจจะถามว่าดิฉันนึกยังไงถึงได้อุตริไปนั่งใต้ compressor จริงๆไม่ได้อยากไป ณ บริเวณที่ว่านี้เท่าไรนักหรอกค่ะ แค่เดินเฉียดไป ก็รู้สึกถึงไอร้อนที่เครื่องปรับอากาศระบายออกมาแล้ว

เครื่องปรับอากาศเครื่องเดียวระบายความร้อนออกมาถึงขนาดนั้น แล้วในประเทศเรามีกี่ล้านเครื่องล่ะคะ คิดดูว่าไอร้อนที่ระบายออกมาจะมากแค่ไหน นี่แหละ สาเหตุหลักของความร้อนที่เราสัมผัสอยู่ทุกวันนี้ ยอมรับค่ะว่าดิฉันก็คนหนึ่งล่ะที่ทนร้อนไม่ค่อยได้ แต่ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเราตกอยู่ภายใต้วงจรนี้ ก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไปภายใต้วงจรนี้แหละ แก้ไขไม่ได้แล้วนี่ หายากมากๆแล้วนะคะ สถานที่ที่จะไปนั่งให้สัมผัสไอเย็นจากลมธรรมชาติ

ลองไม่เปิดแอร์สิคะ คุณทนได้กันสักแค่ไหน? ..

หลายวันก่อนที่ดิฉันเล่าเรื่องไปเข้าค่าย ที่ค่ายทหารให้อ่านกัน คงยังพอจำกันได้ นี่ไงคะ วันนั้นแหละ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ อากาศจากธรรมชาติจริงๆ ให้ตายเถอะ ลมก็แทบไม่มี ดิฉันก็พึ่งแป้งเย็นนี่แหละค่ะท่านผู้อ่านขา ทุกวันนี้ก็ยังใช้แป้งเย็นหลังจากอาบน้ำทุกครั้ง สอบถามจากเพื่อนในที่ทำงาน ก็นิยมแป้งเย็นเช่นกัน จากที่สำรวจในท้องตลาด มีหลายเจ้าอยู่เหมือนกันนะคะ ขอไม่เอ่ยดีกว่า เกรงว่าจะเอ่ยไม่หมด พูดถึงยี่ห้อที่ตัวเองใช้ดีกว่า ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มาโฆษณาให้ (ท่าทางหน้าร้อนแบบนี้สินค้าของเขาคงขายดีอยู่แล้ว)

“แป้งเย็นตรางู” แทบทุกคนคงเคยได้ยิชื่อกันอยู่แล้ว ยี่ห้อนี้แหละที่ช่วยชีวิตของดิฉันได้ ตอนที่ไปเข้าค่าย ด้วยความที่เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นที่มาที่ไปของแป้งเย็น ไปหาข้อมูลจากที่ไหนก็ไม่เจอ กอรปกับด้วยความแปลกใจในชื่อ Prickly heat ด้วย

อันที่จริง prickly heat เป็นโรคผิวหนังผื่นคันเนื่องจากต่อมเหงื่ออักเสบ ผด prickly heat หรือศัพท์แพทย์เรียกว่า miliaria นั้นเป็นการอุดตันชั่วคราวของรูเปิดของท่อต่อมเหงื่อที่บริเวณผิวหนัง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เกิดสถานการณ์ที่จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งเหงื่อขึ้น แทนที่เหงื่อจะไหลออกมาข้างนอก เหงื่อก็จะอุดตันอยู่ในท่อต่อมเหงื่อและอาจทำให้ผนังของท่อต่อมเหงื่อแตก จึงเกิดการอักเสบของผิวหนังบริเวณข้างเคียงตามมาครับ พบว่าทุกคนมีสิทธิ์เป็นผดได้ทั้งนั้น(บางตำราอาจจะบอกว่าprickly heat เป็น ผดที่เกิดจากความร้อนทั่วไป)

สำหรับวิธีการดูแลรักษาผด หลักก็คือพยายามหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อนและชื้น เพราะจะทำให้เหงื่อออกมาก และมีโอกาสเกิดผดได้ง่าย ทั้งยังไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาและรัดเกินไป เพราะยิ่งทำให้เหงื่อออกและเสียดสีผิวหนังทำให้เกิดผดมากขึ้น ถ้าอากาศร้อนอบอ้าวควรอยู่ในห้องปรับอากาศก็จะช่วยลดการเกิดผดได้มาก ไม่ควรไปอยู่กลางแจ้งตอนแดดออกจัดๆ เพราะจะทำให้เหงื่อออกมากและเกิดผดได้

นี่กระมังไงคะ การเกิดผดจากความร้อน ทำให้มีคนคิดค้นแป้งเย็นขึ้นมา เพื่อลดอาการพวกนี้

แป้งเย็นตรางูนี่เห็นบอกว่าก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี2435 นู่น ถึงตอนนี้ก็ร้อยกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้น เป็นบริษัทที่นำเข้าจากสินค้าจากต่างประเทศ แล้ว มีสัญลักษณ์รูปงูถูกศรปักเป็นเครื่องหมายการค้า งู หมายถึงโรค ลูกศรปักหมายถึงการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ นี่ดิฉันอยู่วงการสุขภาพมาตั้งนาน ก็เพิ่งถึงบางอ้อเหมือนกันนะคะนี่

ผู้ก่อตั้งเป็นนายแพทย์ชาวอังกฤษค่ะ การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเริ่มแรกก็คงมาจากประเทศอังกฤษล่ะค่ะ แต่สังสัยว่าที่นั่นร้อนขนาดที่จะต้องใช้แป้งเย็นกันเลยหรือ อย่างไรก็ตามขอยกนิ้วให้ผู้ที่นำสินค้าชนิดนี้เข้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม (ไปๆมาๆเราก็สามารถผลิตได้ในประเทศของเราเอง อิอิ)

แล้วสังเกตไหมคะว่า ตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็กเราก็เห็นกระป๋องแป้งตรางูลักษณะเหมือนกระป๋องแป้งในปัจจุบันนี่แหละ คงความเป็นเอกลักษณ์ดีนะคะ นี่กระมังเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนทั่วไปยังนิยมใช้ยี่ห้อนี้อยู่ (คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าแรกที่ผลิตแป้งเย็นด้วยกระมัง)

สาเหตุที่ดิฉันหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่าอากาศมันร้อนเหลือหลาย และนึกชื่นชมคนสมัยก่อนที่คิดค้นและผลิตแป้งเย็นขึ้นมา อากาศร้อนๆแบบนี้ ทำให้คลายความร้อนไปได้มากพอสมควร ลองไหมคะ ลองปิดเครื่องปรับอากาศแล้วใช้แป้งเย็นแทน

ช่วยชาติประหยัดพลังงานไปได้เยอะเหมือนกัน

Monday, April 24, 2006

..อยู่ที่ใจ..




สัปดาห์ที่ผ่านมาชีพจรลงเท้าค่ะ..

ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่เป็นทางตั้งแต่สงกรานต์แล้วล่ะ จากที่ได้บอกว่าเดินทางไปต่างจังหวัด3-4วัน อันที่จริงใช้เวลาพักผ่อนน้อยนิดมาก เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน ใช้เวลาอยู่บนท้องถนน เป็นเวลาเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่ใช่เทศกาล ยังค่ะยังไม่พอ กลับมาแล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องตื่นแต่เช้ามืด เตรียมตัวเดินทางไปเข้าค่าย ดังที่เรียนให้ท่านผู้อ่านทราบตั้งแต่บล็อคที่แล้ว

ไปฝึกการรับคำสั่งมาสองวันเต็มๆ กลับมาพักผ่อน เนื่องจากไม่สามารถไปทำงานได้ เพราะเหตุที่ว่าขาเดี้ยง ฉะนั้น ดิฉันจึงใช้เวลาอยู่กับที่หนึ่งวันเต็มๆ วันต่อมาความซ่ามันกลับมาเยือน ในวันเดียวกันนั้นดิฉันไปเดินเที่ยวสำเพ็ง จากนั้นไปร.พ.ศิริราชต่อ ยังค่ะ ยังไม่จบแค่นั้น ยังต้องไปทำธุระแถวซอยละลายทรัพย์อีก (ค่อยยังชั่วที่วันนั้น ทรัพย์ยังไม่ละลาย อิอิ) ที่ไปหลายที่หลายทาง ดิฉันถือคติที่ว่า "หนามยอกเอาหนามบ่ง" ปวดขา ต้องไปเดิน เผื่อจะได้หายปวด เพราะ ลบคูณลบ ยังเป็นบวกเลย (แล้วมันเกี่ยวอะไรกันนี่!!)

คิดดูและนึกภาพตามสิคะว่า การไปเดินแถวสำเพ็งนั้น ถ้าไม่หิ้วของพะรุงพะรังก็คงแปลกล่ะ ที่นั่นมีแต่ของประเภทที่ขายส่ง ดังนั้นของแต่ละอย่างมักจะขาย 3ชิ้น หรือเป็นโหล ซื้อชิ้นเดียวมันไม่คุ้มราคาค่ะ เห็นคนที่ไปเดินที่นั่นส่วนใหญ่มักจะซื้อของไปขายต่อ ไม่ได้ไปเดินแถวสำเพ็งนานแล้วเหมือนกัน เมื่อก่อนแถวนั้นจะร้อนมาก วันนั้นไม่ยักกะร้อนแฮะ ร้านรวงแถวนั้นติดแอร์กันเกือบหมดแล้ว เดินไปไอเย็นจากแต่ละร้านก็เผื่อแผ่มาข้างนอกด้วย ร้านที่ขายผ้าก็ไม่มีแล้ว อาจจะเป็นเพราะกระแสนิยม ไม่มีใครที่นิยมจะตัดเสื้อผ้าใส่กันแล้ว เดี๋ยวนี้นิยมซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปใส่กันดีกว่า สะดวกดี

ร้านค้าแถวสำเพ็ง ส่วนใหญ่จะขายเครื่องประดับ พวกต่างหู นาฬิกา ที่คาดผม กระเป๋า รองเท้า หรือของกระจุกกระจิกทั้งหลายแหล่ น่าซื้อทีเดียว แต่วันที่ไปนั้น ต้องรีบเดินรีบซื้อ ธุระเยอะ เลยอด คิดว่าวันหน้าน่าจะมีโอกาสไปอีก สินค้าดูไม่แตกต่างจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆนัก ถ้าเลือกให้ดี ที่สำคัญราคาถูกกว่ากันเยอะ

ถึงเวลาที่จะต้องไปที่ร.พ.ศิริราช ไปนั่งรอเวลาที่ร้านขายยาที่ตึกสยามมินทร์เปิดประมาณหนึ่งชั่วโมง สังเกตรอบตัวเห็นอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆที่ตัวเอง พบอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่บอร์ดที่มีคำอธิบายเรื่อง สิทธิการเบิกของผู้ป่วย เช่น 30บาทรักษาทุกโรค เป็นต้น (ดิฉันยังพูดเล่นกับคนใกล้ตัวเลยว่า " ดิฉันไม่เสียสักบาทแต่รักษาทุกโรคได้เหมือนกัน" นี่ถ้าหากใครมาได้ยินคงถูกหมั่นไส้ได้ง่ายๆ) หรือไม่ก็สภาพแวดล้อมของ ร.พ. และสภาพของบุคลากรที่ทำงานในที่นั้น รวมทั้งผู้มาใช้บริการด้วย น่าเห็นใจเหมือนกันนะคะ

วันต่อมาขอไปนั่งเล่นแถวสวนรถไฟเสียหน่อย เพราะดูเหมือนชีวิตจะวุ่นวายเหลือเกิน จริงๆลิ่งนี้คือข้ออ้างค่ะ แฮ่!! แท้ที่จริงแล้วตั้งใจไปดูชมพูพันธุ์ทิพย์ต่างหาก เห็นบนทั่วเมืองแล้ว คิดว่าที่สวนรถไฟคงบานเหมือนกัน ก็ไม่ผิดหวังดังที่คิด ขอไปนั่งสงบๆ ดูดอกไม้ในสวนดีกว่า หากแต่ว่าไปนั่งได้ไม่นานนัก เพื่อนของคนใกล้ตัวชวนพวกเราไปรับประทานอาหารมื้อเย็นกัน ตกลงไปร้านอร่อยแถวพระรามเก้า จบการทางอาหารมื้อนั้น พวกเราก็ตกลงกันที่จะไปถนนข้าวสารต่อ เอ้า!!ไปก็ไป

ราตรีบนถนนข้าวสาร ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปสวนกันมา บ้างก็ซื้อของที่ขายอยู่ข้างทาง บ้างก็ขายของ บ้างก็เดินไปยกเบียร์ดื่มไปตามทาง บ้างนั่งจิบเบียร์ ดื่มเหล้าอยู่ริมถนน เสียงดนตรีกระหึ่ม ออกมาจากร้านเหล้าบางร้าน ผู้คนในร้านก็โยกไปตามเสียงดนตรี ถนนสายนี้ดูสับสนและวุ่นวาย กลับบ้านแล้ว ดิฉันนึกถึงบรรยากาศที่ตนเองพบประสบมา เสียงดนตรีที่กระหึ่ม ยังคงก้องอยู่ในหัว

รุ่งขึ้น ไปสงบจิตสงบใจในโบสถ์ บ่ายแล้วขอไปที่สวนรถไฟอีกสักครั้งบรรยากาศ เมื่อคืน กับบรรยากาศวันนี้ช่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันปูเสื่อใต้ร่มไม้ นั่งมองกลับดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ค่อยๆร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า แสงแดดยังคงสาดแสงแรงกล้า รอบตัวยังคงมีลมเย็นๆพักมาให้คลายร้อนได้บ้าง ข้างกายมีคนที่เรารักนั่งอยู่ด้วย บรรยากาศแบบนี้ ความสงบแบบนี้คือสิ่งที่ดิฉันเลือกแล้ว

ความสุขที่หาได้ไม่ยากนักและอยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลย ไม่ต้องไขว่ ไม่ต้องคว้า ความสุข หรือความทุกข์นั้น เกิดได้ ดับได้ ที่ใจเรานั่นเอง

แล้วความสุขของท่านผู้อ่านล่ะคะอยู่ที่ไหน?..


( ภาพ : Dinner Call โดย Barton Dawna )

Saturday, April 22, 2006

..Pretzel..



ใครชอบรับประทาน Pretzel บ้างยกมือขึ้น?..

เมื่อพูดถึง Pretzel แทบทุกคนก็ต้องนึกถึง pretzel ที่ร้าน Auntie Anne’s เป็นที่แรกแน่นอน ดิฉันก็หนึ่งในนั้น โดยปกติแล้ว ไม่พิสมัย การเข้าร้าน เบเกอรี่ หรือ fast food เท่าไรนัก (ไม่ใช่ชอบ slow food หรอกนะคะ ) แต่ที่รู้จัก pretzel ของที่นี่ได้ เพราะ กระหายน้ำนั่นแหละค่ะ เห็นน้ำสตรอเบอรี่ปั่น ก็เลยแจ้นเข้าไปหานั่นแหละ ดิฉันเลยรู้จักกับ pretzel จนได้

ประวัติความเป็นมาของ pretzel นั้น ว่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีเกิดที่ประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ 610 โดยที่บาทหลวง อยากให้รางวัลแก่เด็กๆ จึงเอาแป้งมาปั้นเป็นแท่งยาวๆ แล้ว นำมาขดแล้วไขว้กันให้เป็นรูปคล้ายๆกับแขนที่ไขว้กันเวลาสวดมนต์ ในเวลาต่อมา ขนมชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมไปทั่วทวีปยุโรป และอเมริกา (ในยุคต่อๆมา ก็มีอะไรหลายอย่างที่ฮิตเหมือนกันนะคะ เมื่อวาน ดิฉันไปเดินเล่นแถวซอยละลายทรัพย์ ขนม Rotiboy ยังมีขายแถวนั้นเลย เลยไม่แน่ใจว่า Rotiboy มีแบบ MLM แล้วหรือนี่ อิอิอิ)

พูดถึงเรื่อง pretzel ต่อกันดีกว่าค่ะ ท่านผู้อ่านที่นิยมชมชอบขนมชนิดนี้ เคยสังเกตความแตกต่างกันบ้างไหมคะ ว่า แต่ละสาขาทำรสชาติ ของ pretzel ไม่เหมือนกัน

Auntie Anne’s มีสาขาในประเทศไทย อยู่ 55 สาขาแล้ว ส่วนตัวดิฉันเองนั้นได้ตระเวนลิ้มลองรสชาติของ ขนมที่ว่านี้ มาหลายที่แล้วค่ะ ชอบ แบบ original แล้วก็ original stick เพราะรสชาติจืดๆปนเค็มหน่อยๆ (ไม่ใช่ดิฉันเค็มนะคะ เลยชอบรสนี้) ส่วนรสอื่นท่าทางจะหวาน เลยไม่เลือกรับประทาน อีกอย่างชอบเม็ดงาขาวที่โรยๆ บนตัวขนมปัง ด้วย

เวลารับประทาน pretzel เราต้องรับประทานตอนที่เพิ่งเอาออกมาจากเตาอบใหม่ๆ แป้งจะนุ่ม แล้วก็เหนียวกำลังพอดีเชียวล่ะ

พอเปรียบเทียบรสชาติ ของแต่ละสาขา ดิฉันว่า Auntie Anne’s ที่ Central ชิดลม อร่อยถูกปากที่สุดค่ะ ส่วนที่ Central ปิ่นเกล้า แป้งจะแข็ง และชืดไปนิด ส่วน Auntie Anne’s สาขา Century (อนุสาวรีย์ชัย) ยังทำรสชาติยังไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร เอ!! หรืออาจเป็นเพราะ เพิ่งเปิดตัวสาขาได้ไม่นานนัก ล่าสุด เมื่อวานนี้ มีโอกาสไปเดินซื้อของที่ โลตัส สาขาถนนบรรทัดทอง pretzel ที่นั่นมีรสเค็มนำค่ะ ท่านผู้อ่านขา แปลกดี ที่จริงน่าจะเป็นสูตรเดียวกัน แต่ไหง ลองมาแต่ละสาขา รสชาติมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ถึงจะติ จะชม แต่ pretzel ก็ยังเป็นขนมในดวงใจของดิฉันล่ะน่า แต่ถ้าทานเยอะๆ อาจจะติดคอคนที่อยู่ในวัยสูงอายุได้นะคะ ฉะนั้นกลั้วคอด้วย น้ำสตรอเบอรี่ปั่นสักนิด ท่านจะชื่นใจนะคะ

อ้อ!! มีเรื่องแปลกใจนิดหนึ่ง เมื่อวานไปเดินหาซื้อหลอดกาแฟ ที่โลตัส หลอดสีฟ้า เหมือนที่ Auntie Anne’s ที่นี่ไม่ยักกะมีขายค่ะ พอไปถามที่ Auntie Anne’s พนักงานที่นั่นบอกว่า หลอดแบบนี้ส่งมาจากอเมริกา โอ!! พระเจ้า คนไทยผลิตหลอดกาแฟ แบบนี้ไม่เป็นรึไง

ใยจึงต้องนำเข้าจาก อ-เม-ริ-กา !!..

หมายเหตุ : บล็อควันนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพราะได้รับค่าโฆษณาแต่อย่างใดนะคะ


( ภาพ : sweet rest โดย Pino )

Thursday, April 20, 2006

..ครั้งหนึ่งในชีวิต..




ผ่านพ้นไปซะที ..

ที่บอกว่าผ่านพ้นนั้นก็คือ โครงการ OD ขององค์กร คิดว่าหลายคนคงไม่รู้ว่า เจ้า OD นี้คืออะไร OD มาจากคำว่า Organization Development ค่ะ เรียกให้ง่ายๆ ก็คือการสัมมนานั้นเอง แต่ดิฉันขอเรียกว่า "เข้าค่าย"ดีกว่านะคะ เพราะ มันดูเหมือนการเข้าค่ายลูกเสือสมัยที่เรายังเป็นเด็กๆนั่นแหละค่ะ ลองหลับตานึกภาพในตอนนั้นดูสิคะ

ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ วัยที่แตกต่างกันแน่นอน จับเด็กไปเข้าค่ายกับจับคนแก่ไปเข้าค่ายนี่มันคนละเรื่องกันเลย

การจัดสัมมนาโดยทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่ จะจัดขึ้นทีห้องประชุมของโรงแรม แต่สำหรับองค์กรที่ดิฉันทำงานอยู่ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แต่ไปจัดในค่ายทหาร ซึ่งรุ่นของดิฉันเป็นรุ่นสุดท้าย นี่ก็เพิ่งกลับมาเมื่อเย็นวานนี้เอง

ก่อนที่จะได้ไปเข้าค่ายในครั้งนี้ ทุกคนจะมีความรู้สึกเหมือนกันไปหมด นั่นคือ กลัว และไม่อยากไป แค่ได้ยินว่า เป็นค่ายทหารนี่ก็ขนลุกแล้วค่ะ

เอาล่ะ เล่าเลยดีกว่า ว่าดิฉันไปเจอะเจอกับอะไรบ้าง

วันแรกที่ไปถึง หลังจาก Brief ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ครูฝึก (ทหารทั่งนั้น) ก็จับพวกเราออกไปกลางสนาม ฝึกการรับคำสั่ง ทวนคำสั่ง คำพูดที่ติดปากพวกเราก็คือ "ทราบ" ยังไม่พอค่ะ ต้องคะเบ็งเสียงให้ดังๆด้วย มิฉะนั้น ก็จะถูกทำโทษ การทำโทษกลางแดดเปรี้ยงๆ จะมีทั้งท่าตายอย่างเขียด กางมุ้งมั่ง (นอนหงาย แล้วยกแขนขึ้นมาทั้งสองข้าง และนอนกางขานั่นแหละค่ะ ) หรือไม่ก็ทำท่าสะพานโค้งให้เพื่อนลอดใต้ตัวเรากลางเปลวแดดของเดือนเมษา ที่ร้อนระอุอย่างเหลือเกิน หลายคนถูกหามออกไปในที่ร่ม เป็นลมท่ามกลางเปลวแดด แต่ดิฉันอึดค่ะ แค่หายใจไม่ทันไปพักนึง แต่ก็ไม่เป็นไร..ศรีทนได้!!(ไม่น่าเชื่อ)

แต่ละรุ่น ของการมาเข้าค่ายแบบนี้ รุ่นหนึ่งมีพนักงานประมาณ200 กว่าคน แบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ20-22คน มีฐานฝึกประมาณ 10 ฐาน ก่อนที่จะเข้าไปแต่ละฐานก็ต้องเอา อะไรก็ไม่ทราบสีดำๆ มาทาหน้าให้ทั่วซะก่อน และก็ไปทำกิจกรรม ทุกฐาน มีการฝึกคิด และจำกัดเวลาอยู่ตลอด ต่างก็ทำสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง มีทั้งลุยน้ำ กลิ่งบนดินบนทราย ลอดท่อน้ำใต้ถนนก็มี คิดดูสิคะ ท่อระบายน้ำทิ้งเหม็นๆนั่นแหละค่ะ นี่แหละเด็ดมาก เหม็นก็เหม็น ไม่รู้รอดมาได้ยังไง

เข้าไปบางฐาน เวลาทานอาหารกลางวันพอดี ต้องหุงข้าวรับประทานกันเอง อุปกรณ์ก็คือ หม้อข้าวของทหารนั่นแหละค่ะ ต้องไปก่อฟืนกันเอง จากนั่นก็ต่อแพ ไปกลางสระบัวกลางสระน้ำลึกประมาณ 150 ซ.ม. เห็นจะได้ (เพราะตอนที่ยืน ระดับน้ำ ราวๆจมูกเห็นจะได้ ) แพล่ม (เอาถังน้ำมันสองถึงมาผูกเชือกให้เป็นแพค่ะ นั่งยังไง มันก็ล่ม ดังนั้น ก็ต้องเดินข้ามไปเอง ทั้ง 22 คนนั่นแหละ)

ลงน้ำเสร็จไปฐานต่อไป ก็ถูกทำโทษ ให้ลองไปหมอบแล้วก็กลิ้งตัวอีกค่ะท่านผู้ชม ทุกลักทุเลเหลือเกิน ไปอย่างนี้ไปทั้งวัน กลับมาก็ต้องรีบอาบน้ำ วิธีการอาบน้ำก็ ต้องใส่ผ้าถุงไปตักน้ำในอ่างอาบ อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาเข้าแถวให้พร้อมเพรียงกัน ก็ให้เวลาที่จำกัดสุดๆ คิดดูว่า ตัวเปื้อนโคลน หน้าดำ ขนาดนั้น อาบน้ำ สระผม คงไม่เกลี้ยงแน่นอน แต่ช่างเหอะ เวลามีจำกัด กลับมาค่อยมาจัดการอีกที กิจกรรมวันนั้นก็มีถึงกลางคืน จนกระทั่ง ได้เวลาพักผ่อน

เรือนนอนของพวกเรา ก็คือเรือนนอนแบบทหารเกณฑ์นั่นแหละค่ะ ไม่เคยกางมุ้งก็ต้องกาง ร้อนก็ร้อน ดีที่เอาแป้งเย็นติดไปด้วย ถึงเวลานอนก็ต้องนอน ต้องปิดไฟนอน กางมุ้งอิท่าไหนก็ไม่ทราบ ยุงเข้าไปกัดค่ะ ก.ย.15 ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทาแขนทาขา มันก็ไปกัดที่อุ้งเท้า ทาเท้า ก็กัดที่เอว พอทาเอว ก็ไปกัดที่ใบหน้าอีกแน่ะ ยุงนี่มันดุจริงๆ ให้ตายเหอะ สรุปคืนนั้น ก็หลับๆตื่นๆทั้งคืน

ถูกปลุกตี 5ครึ่ง ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ ภายใน15นาที แล้วต้องไปเข้าแถวออกกำลังกายตอนเช้า เรียบร้อยแล้วก็ให้เวลา ทำกิจวัตรประจำวัน อีกครึ่งชั่วโมงแล้ว ต้องไปเข้าแถว เพื่อไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ คราวนี้ ต้องกินแบบทหารเลยล่ะ "กินแบบฉาก" ข้าวก็ไม่ให้เหลือสักเม็ด ยกเก้าอี้ วางเก้าอี้ ไม่ให้มีเสียง ไม่งั้นถูกทำโทษ ผลไม้ในถาดดั๊น เป็นกล้วยหอม ดิฉันเป็นคนที่ไม่กินกล้วยหอมซะด้วยสิ เลยถูกทำโทษไปตามระเบียบ

น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงกันเลยค่ะ ทนอะไรก็ทนได้ แต่บังคับเรื่องกินนี่ ยังไง ศรีก็ทนไม่ได้จริงๆ อิอิ

ไปๆมาๆ ค่ายนี้ก็ผ่านไปได้ ด้วยดีค่ะ สิ่งที่ไม่เคยเจอะเคยเจอมาก่อนในชีวิต ก็ได้เจอที่นี่แหละค่ะ กลับมาก็ยิ้มได้ มันก็เป็นสิ่งที่ประทับใจและน่าเก็บไว้ในบันทึกแห่งความทรงจำในชัวิตด้วยแหละ บทเรียนบทหนึ่ง ที่เราได้พบประสบมา ถึงแม้จะลำบากแค่ไหน ก็ผ่านมันไปได้ สิ่งที่ได้รับ ก็คือ ความสามัคคี ในหมู่คณะ และที่สำคัญก็คือ การฝึกความอดทน ซึ่งดิฉันเอง ก็สามารถเอาไปใช้ในงานบริการ ได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้ระบมและปวดไปหมดทั้งตัว แต่อย่างไรก็ตาม .. สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่ากับความลำบากจริงๆ

อยากลองกันบ้างไหมคะ ?.. อิอิอิ

( ภาพ : Garden Fence โดย Barton Dawna )

Monday, April 10, 2006

..Take it easy..



สองสามวันที่ผ่านมายอมรับว่าไม่ค่อยได้ติดตามความเป็นไปของบ้านเมืองเลย

อันที่จริง การที่เราปิดหูปิดตากับบางเรื่อง ก็ดีต่อสุขภาพเราเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะสุขภาพจิต การดำเนินชีวิตตามปกติ และไม่เสพข่าวสักระยะ หนึ่ง ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น ดิฉันก็ได้พิสูจน์มาแล้ว

จะเล่าให้ฟัง เอ้ย!!อ่านก็ได้ค่ะ ว่าดิฉันใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง ในช่วงเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา

วันเสาร์เป็นวันหยุด ดังนั้น สามารถตื่นสายยังไงก็ได้ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเร่ง ใช้เวลาว่างไปเดินเล่นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เนื่องจาก เกือบจะเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ (2สัปดาห์)

ไม่น่าเชื่อว่าร้านหนังสือจะละลานตาขนาดนี้ ถึงแม้ผู้คนจะมากมาย แต่ก็ไม่แออัดเท่าไรนัก พอจะเดินได้สบายๆ ที่สำคัญคือหาที่จอดรถได้ง่ายมาก (ปกติแล้วดิฉันมักจะอารมณ์เสียได้ง่ายๆ เวลาหาที่จอดรถไม่ได้ ) ดังนั้นแค่นี้ก็เป็นทุนที่ทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวันได้แล้ว คนเรานี่ก็แปลก ครั้นจะอารมณ์ดีก็ดีได้โดยไม่ยากนัก แต่บางครั้งอยู่ๆ ก็อารมณ์เสียได้ง่ายๆเหมือนกัน

ตั้งใจจะไปซื้อหนังสือ ของ คุณวินทร์ เลียววาริณ และคุณปราบดา หยุ่น โดยเฉพาะ "ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน" หนังสือชุดนี้ (ดิฉันใช้คำว่า "ชุด"เนื่องจากทางสำนักพิมพ์ ผลิตออกมา 3เล่มแล้ว ซึ่ง ดิฉันก็มีในครอบครองทุกเล่ม ) ผู้เขียน จะเขียนโต้ตอบกัน ทางจดหมายอิเลคทรอนิคส์ เนื้อหาจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมือง หรือไม่ก็เป็นเรื่องต่างๆรอบตัว ณ เวลานั้น

ก่อนที่จะซื้อหนังสือแต่ละเล่ม คุณผู้อ่านมีหลักในการเลือกซื้ออย่างไร ?

ดิฉันเอง อาศัยการเปิดดูรายละเอียดคร่าวๆก่อนค่ะ จำได้ไหมคะ มีคนเคยบอกว่า "หนังสือดี ไม่ใช่ดีแค่หน้าปก" บางทีปกสวย แต่เนื้อหาภายในไม่ถูกใจก็มี หนังสือของนักเขียนทั้งสองท่านที่ดิฉันกล่าวถึงนี่ก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ดิฉันชอบอ่านทุกแนว นวนิยายบางเรื่องก็ไม่ตรงใจก็มี ดังนั้นเลือกซื้อแต่เล่มที่ตัวเองชอบ พูดง่ายๆ ดิฉันเน้นความเป็น reality ค่ะ เหตุผลนี้ ดิฉันจึงไม่ชอบอ่านนิยาย

อ้อ!! ไม่ลืมอีกคนหนึ่ง คือของ คุณ ชาติ ภิรมย์กุล นักเขียนท่านนี้ เด่นตรงที่ มุขตลกเยอะ อ่านมาสามสี่ประโยคก็ฮาแล้วค่ะ ดังนั้น เวลาเครียดๆ ก็หยิบมาอ่านได้เรื่อยๆ ขำ-ขำ

นี่ขนาดเดินยังไม่ทั่ว ก็เหนื่อยและเพลียเหลือเกินแล้ว (ดีที่ไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงไป ไม่งั้น ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย คงหงุดหงิดอีกเป็นแน่ ) หลังจากเดินไปได้สักพักใหญ่ๆ เราพากันเดินลงไปที่ food center หาไอศครีมรับประทาน ก็สดชื่นขึ้นมาได้บ้าง ผ่านไปบูธหนึ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็น "ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน"เล่ม 4 เปิดดู เพิ่งพิมพ์เมื่อ เมษายน 2549 นี้เอง โห!! ออกมาสดๆร้อนๆ แล้วจะพลาดได้อย่างไรคะท่านผู้อ่านขา

สรุปแล้ว วันนั้น เราหิ้วหนังสือออกมาจากงาน 11เล่ม ของดิฉันเอง 4เล่ม แล้วคนใกล้ตัวอีก7เล่ม( แหะ แหะ เราเป็นคนที่รักการอ่านกันทั้งคู่) ลด 20% คิดว่าคุ้มนะคะ เพราะหนังสือ (ที่เป็นสิ่งพิมพ์แบบนี้ ) อย่างไรก็เก็บไว้ได้นาน อ่านแล้วก็ยังอ่านอีกได้

กลับมาจากงานสัปดาห์หนังสือ ดิฉันกับคนใกล้ตัวก็มานั่งทำหมูมะนาวรับประทานกันสองคน แค่นี้ก็สุขใจไปอีกหนึ่งวันแล้ว

จริงๆแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสพข่าวแล้ววิ่งตามสิ่งรอบตัวไปเสียทุกเรื่อง หันกลับมามองตัวเองและคนที่อยู่ข้างๆบ้าง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันอย่างง่ายๆ ดีกว่าเป็นไหนๆ ทำชีวิตให้ง่ายมันก็ง่าย ในทางกลับกัน ทำชีวิตให้ยากมันก็ยากค่ะ

อย่าคิดมากดีกว่าค่ะ เอาเป็นว่า คราวหน้า ดิฉันจะมานั่งเล่าเรื่องหมูมะนาวให้อ่านกันดีกว่า

( ภาพ : Lighthouse By Dawn โดย Chiu )

Thursday, April 06, 2006

..ไว้ใจ..

ปวดท้องค่ะ

โรคกระเพาะกำเริบอีกแล้ว

อย่างที่เคยนำมาบอกเล่าเก้าสิบว่า โรคกระเพาะอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร หลายคนคงทราบอยู่แล้ว และหลายคนก็คงเคยมีอาการของโรคกระเพาะอักเสบมาแล้ว และรู้ซึ้งถึงพิษสงของมันว่า มันทรมานแค่ไหน

สาเหตุหนึ่งของโรคกระเพาะก็คือ ความเครียดค่ะ สังคมปัจจุบันนี้ทำให้คนเรามีอาการเครียดมากขึ้น ทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองที่ร้อนระอุ ดังเช่นปัจจุบัน แต่วันนี้ขอพักเรื่องการเมือง (สำหรับที่นี่) ไปก่อนนะคะ ยังไม่อยากให้บ้านนี้เกิดความร้อนระอุขึ้นมา ขอสักที่ที่มีบรรยากาศเย็นๆให้เข้ามาพักกายพักใจ ใครที่ผ่านเข้ามาจะได้มาแวะพักได้ ดีกว่ามั้ยคะ

ที่บอกว่า ปวดท้องก็เพราะเครียดนั่นแหละค่ะ คราวนี้เครียดอันเนื่องมาจากปัญหาใจนั่นเอง

คุณเคยนึกเบื่อหน่ายอะไรไหมคะ เบื่อจากการที่ไม่รู้จะจัดการยังไงกับเรื่องบางเรื่อง

เบื่อกับเรื่องที่คนรักไม่เคยเชื่อใจ ไม่เคยมั่นใจในความรักของเราที่มีให้แก่เขา

การที่ชอบพูดเล่นไปเรื่อยเปื่อยกลับทำให้คนรักของเราไม่ไว้ใจ แย่นะคะ กับนิสัยที่ติดตัว แต่ทำให้คนๆหนึ่งเข้าใจผิด ซึ่งคนๆนั้นเป็นคนที่เรารักด้วยแล้ว จริงอยู่ คนเรารักกันควรที่จะไว้เนื้อเชื่อใจกัน มั่นใจในความรักของกันและกัน

โดยปกติแล้วดิฉันเป็นคนที่ขี้เล่น ชอบโต้คารมเล่นกับคนที่พูดเล่นได้ แต่คนที่พูดเล่นด้วย เป็นเพื่อนของคนรัก เหตุฉะนี้เลยทำให้คนรักของดิฉันเข้าใจผิด จับแพะมาชนแกะ เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ความบริสุทธิ์ใจนี่ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง (คงต้องควักหัวใจเอาออกมาพิสูจน์ล่ะมั้ง) เพราะพูดอะไรไปก็ไม่เชื่อใจกัน

สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ความรักยืนยงได้ ก็คือความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้แก่กัน ก็ยากที่จะประคับประคองความรักไว้ได้

เฮ้อ!! ดิฉันไม่รู้จะทำยังไงดี

ปวดท้อง!!!

Tuesday, April 04, 2006

..สติ..






ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ใจเย็นบ้างยกมือขึ้น

เก่งจังเลยนะคะ คนที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคุณสมบัติในข้อนี้ หลายคนอาจจะแปลกใจว่ามาทำงานบริการได้อย่างไร เพราะการที่จะเข้ามาทำงานบริการต้องควบคุมอารมณ์ได้ดีทีเดียวล่ะ

โชคดีที่ดิฉันแยกออกระหว่างเวลางานกับเวลาที่เป็นส่วนตัว ซึ่งเวลาทำงาน ยอมรับว่า หลายครั้งที่เราไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเองได้ และระหว่างความเป็นตัวของตัวเองเนี่ย ดิฉันมักจะแยกไม่ค่อยออกกับประโยคที่ว่า เอาแต่ใจตัวเอง จริงๆ สองสิ่งเนี่ย เป็นผลเกี่ยวเนื่องกันได้ในหลายๆสถานการณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้คนๆนั้นมีเสน่ห์ แต่การที่เอาแต่ใจตัวเอง อาจจะทำให้คนๆนั้นหมดเสน่ห์ไปเลยก็ได้

มาพูดถึงเรื่องการควบคุมอารมณ์กันดีกว่าค่ะ พักนี้ดิฉันสังเกตว่าตัวเองมักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยจะควบคุมอารมณ์เลย โดยปกติแล้วตัวเองเป็นคนที่กล้าคิดและกล้าทำ แต่การกระทำและคำพูดของดิฉันหลายครั้งที่มักจะไปกระทบจิตใจของคนฟัง ซึ่งพอพูดไปแล้วการสำนึกมักจะตามมาในภายหลัง ถึงแม้คำพูดของเราจะถูกต้อง แต่บางครั้งก็เป็นคำพูดที่แรงพอสมควร

ก่อนที่จะเริ่มดูแลคนไข้ในวันนี้ก็เช่นกัน มีเรื่องที่จำเป็นต้องติดต่อกับพนักงานห้องวิจัย (ในเรื่องงาน) ขอคำตอบในเรื่องที่เป็นประเด็นที่ยังสงสัยอยู่ แต่พนักงานคนนั้นยังฟังคำถามและคำอธิบายจากดิฉันยังไม่จบ ก็พูดแทรกขึ้นมาแบบที่ยังไม่รู้เรื่องกับคำถามที่ดิฉันจะถาม ดิฉันจึงบอกกับพนักงานคนนี้ว่า "ฟังก่อนสิคะ" เธอคนนี้จึงได้เงียบและหยุดฟัง ซึ่งคำถามที่ดิฉันถามนั้น ต้องการเพียงคำตอบสั้นๆ ไม่ต้องร่ายยาวให้เสียเวลาด้วยซ้ำ กว่าจะถึงบางอ้อ ก็ทำให้อารมณ์ดิฉันขุ่นมัวไปพอสมควรแล้วล่ะ ตอนนั้นดิฉันก็ทำให้น้องๆแถวที่ทำงานวงแตกไปแล้ว

วันเสาร์ที่ผ่านมาไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดสวนจตุจักรกับคนใกล้ตัว อากาศร้อน แต่ดิฉันอยากดูของอีกสักประเดี๋ยว แต่คนที่ไปด้วย ดูอารมณ์ไม่ดีแล้ว ดิฉันเห็นดังนั้นเลยพาลอารมณ์ไม่ดี (ยิ่งกว่า) ไปด้วย เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ โกรธกันไปตั้งหลายชั่วโมง

อากาศร้อน ทำให้คนเราอารมณ์ร้อนขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใจร้อนอย่างดิฉันยิ่งแล้ว รู้ตัวนะคะว่าคนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีคนอยากอยู่ใกล้ เวลาโกรธสติมันไม่ค่อยจะมีหรอกค่ะ การทำอะไรด้วยความที่ไม่มีสติเนี่ย ไม่เป็นผลดีกับอะไรทั้งสิ้น จงจำไว้ว่า สิ่งที่หวนกลับมาไม่ได้อีกแล้วก็คือ เวลา คำพูด และโอกาส ซึ่งนั่นหมายความว่า เวลาจะพูดอะไร เวลาจะทำอะไร ขอให้ใช้สติ และเราจะเห็นอุทาหรณ์จากเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่ไม่ได้ใช้สติมาแล้ว

และท้ายที่สุดนี้ ดิฉันรู้ตัวค่ะ สำหรับนิสัยที่เกิดขึ้น เนื่องจากความไม่มีสติของตัวเอง และ กำลังพยายามแก้ไข

"สติมา ปัญญาเกิด" ค่ะ

และอยากจะเผื่อแผ่มาถึงพี่น้องร่วมชาติกันด้วย

ทำอะไรขอให้มีสติกันหน่อย นะคะ


( ภาพ : Ocean Sunset โดย Chiu )