Sunday, February 26, 2006

..แด จังกึม (again)

แดจังกึม เพิ่งจบตอนไปเมื่อกี้นี้เอง

ออกอากาศ 2ชั่วโมง จะว่า สองชั่วโมงเต็มๆก็คงไม่ได้ เนื่องจากถูกคั่นด้วยโฆษณา เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้เคืองมากนักเพราะ เดี๋ยวนี้ โฆษณา ของสินค้าแต่ละชิ้นผลิตออกมา ได้น่าดูน่าชมมาก ดูแล้วเพลินดีเหมือนกัน

เข้าเรื่องแดจังกึมดีกว่าค่ะ

ดิฉันว่าเรื่องนี้ ผู้เขียนช่างผูกเรื่องได้เหลือเกิน มีปมหลายปมให้ติดตามได้เรื่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นบางเรื่อง คงจบไปแล้วตั้งแต่ตัวร้ายแพ้พ่ายไป หรือตัวร้ายตายไป แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ หากแต่แสดงถึง ความอดทนของนางเอก อีกอย่าง อิงกับชีวิต ในราชสำนักโบราณ ซึ่งดิฉันคิดว่า มันคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ไม่ได้ เพียงแต่ราชสำนักเท่านั้น แต่เรื่องนี้ สอนให้พวกเรารู้ว่า ในสังคมทั่วไปไม่ว่าจะเป็นที่ใด สังคมใดก็ตาม มนุษย์เรามักจะมีการชิงดีชิงเด่น กันเสมอ มนุษย์เราไม่เคยที่จะพอ แต่มักต้องการไขว่คว้า สิ่งที่ท้าทายความสามารถของตัวเอง เห็นได้จากเมื่อวานนี้ ตอนที่มินซังกุง ถึงแม้ว่าจะบอกว่า พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่ก็อยากลอง และไม่รั้งรอที่จะคว้า โอกาสไว้ เมื่อมีโอกาสมาถึงตัว

แต่คงไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคน ดูอย่าง ซอจังกึม เธอก็ยังยึดมั่นความเป็นเธอ ยังยึดมั่นอุดมการณ์ของเธอ ซึ่งก็ยังมีคนอย่างเธอในสังคมปัจจุบันเหมือนกัน ดังที่เราได้พบได้เจอ อยู่บ้าง ถึงจะไม่มากก็ตาม

วันนี้ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสที่จะได้ชมละครเรื่องนี้ ตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็มีโอกาส ได้ดูตอนที่นางเอก กับพระเอก หนีออกจากวัง ยามที่ทั้งคู่เดินลุยหิมะไปด้วยกัน ภาพนั้นช่างดูโรแมนติคดีจัง ยิ่งตอนที่ พระเอกแบกนางเอกขึ้นหลัง ยิ่งน่ารักมาก คิดว่า ฉากนี้ ผู้กำกับกะจะให้คนดู ยิ้มกันแน่ๆ ซึ่งคิดว่า ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นเลยแหละ อย่างน้อย ก็มีดิฉันคนหนึ่งล่ะ (แอบได้ยินมาว่า ขนาดคนที่ไปชุมนุมที่สนามหลวงยังหยุดดู ละครเรื่องนี้เลย อิอิ)

อากาศในเรื่องหนาวมาก เลยทำให้ คิดไปเรื่อยๆเปื่อย สิ่งหนึ่งที่ คิดสงสัยตามประสาเจ้าหนูจำไม อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ละครเรื่องนี้ ผู้แต่งกะจะให้เป็นบรรยากาศในพื้นที่ ประเทศเกาหลีใต้ หรือว่าเกาหลีเหนือ ในสมัยก่อนกันแน่ อากาศแห้ง และหนาวเย็นมากๆ ขนาดนี้ ดิฉันคิดว่าเป็นเกาหลีเหนือแน่ๆ

เผอิญไม่ได้ดูมาตั้งแต่ต้นเรื่องค่ะ ไม่แน่ใจว่า ช่วงนั้น ผู้เขียน ได้ เกริ่น หรือกล่าวอ้างอิงไว้บ้างรึเปล่า

และตามประสาคนขี้สงสัย เลยตั้งประเด็นขึ้นถามได้เรื่อยๆ

แฮ่!!!

Wednesday, February 22, 2006

..ความหลัง..

ช่วงนี้มีแข่งฟุตบอล..

หลายแมทช์เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแมทช์เล็ก หรือแมทช์ใหญ่ ( วันก่อน เห็นในบล็อคบอกว่า ของอังกฤษมีพรีเมยร์ลีก : ให้เมียหลีก เพราะ ผ.สระอัว จะดู อิอิอิ นึกแล้วยังขำไม่หาย คนคิด คิดได้ยังไง !!)

มีแข่งฟุตบอลระหว่างทีมโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในทีมนั้นก็คือ โรงพยาบาลที่ดิฉันทำงานอยู่นั่นเอง อ๊ะ!! อย่าค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าดิฉันจะไปลงฟาดแข้งกับชาวบ้านเค้า เพราะแค่ฟาดหัวหาดหางในที่ทำงานทุกวันนี่ ก็แทบหมดแรงแล้วล่ะค่ะ ขืนให้ไปฟาดแข้งอีก แข้งขาคงไม่มีแรงเดินแล้วค่ะ แก่แล้วด้วย

ปกติดิฉันไม่ค่อยชอบที่จะไปร่วมกิจกรรมกับชาวบ้านเค้าหรอกค่ะ ยิ่งพวกเฮฮาปาร์ตี้ หรือกิจกรรมที่ลิงโลดมากยิ่งไปกันใหญ่ ขอโบกมือลา เพราะชอบความสงบมากกว่า ดิฉันไม่ค่อยชอบเสียงดังค่ะ ขี้รำคาญ ยิ่งวันไหนทำงานกับพวกที่ชอบใช้เสียงเป็นอาจิณยิ่งแล้ว ดิฉันมักจะพูดตรงๆไปว่า “รบกวน ลดvolume ลงหน่อย”

ช่วงนี้ได้ยินชมรมสันทนาการเค้าซ้อมเชียร์กัน เสียงดังกระหึ่ม สังเกตว่าบางคนใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้อย่างขะมักเขม้น ไม่น่าเชื่อเลย ว่าบางคนแก่แล้วแต่ก็ยังมีไฟอยู่ ซ้อมเชียร์ และมาเชียร์กันทุกแมทช์อย่างไม่สนใจลูกและสามี ทำตัวเหมือนเป็นคนโสดเลยก็มี

นึกไปถึงสมัยเป็นเด็กค่ะ เชื่อว่า ทุกคนคงเคยผ่านกิจกรรมพวกนี้มาแล้ว ลองหลับตานึกภาพดูสิคะ คงพอจะนึกออกกระมัง ไม่ว่าจะเป็นกีฬาสี กีฬาเขต กีฬามหาวิทยาลัย กีฬาอะไรต่อมิอะไร สารพัดกีฬา หลายคนก็เคยถูกเกณฑ์ไปเดินพาเหรด ไปขึ้นอัฒจันทร์ เพื่อเชียร์กีฬา ร่วมในวงดุริยางค์ หรือาจเด็ดกว่านั้น บางคนอาจจะเคย ควงคฑา เป็นดรัมเมเยอร์ หรือไม่ก็ถือป้าย โอ!! นึกแล้วยิ้มเลยนะ

ดูวุ่นวายเหมือนกันนะสมัยนั้น ตื่นเต้นกับการร่วมขบวนพาเหรดหรือร่วมแปรอักษร คนเป็น พ่อเป็นแม่ก็คงวุ่นวายในการหาชุดให้ลูกใส่ด้วยแหละ ตอนที่อยู่วัยนั้น ก็คงสนุกค่ะ แต่พอเวลาผ่านไป โตขึ้นอีกหน่อย ก็ชักจะไม่ไหว ไหนจะกลัวแดดกลัวลม (ลมจริงๆคงไม่กลัว แต่คงกลัวเป็นลมมากกว่า เพราะมันแก่แล้ว)

ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เหมือนกัน มีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชมรมอะไรต่อมิอะไร หลายคนสนุกกับการร่วมกิจกรรมในชมรมต่างๆของมหาวิทยาลัย แต่ท่านผู้อ่านขา ท่านเชื่อไหมคะ ว่าดิฉันเป็นคนที่ไม่เอาอะไรสักอย่างเลยค่ะ ไม่รู้คิดอะไรอยูในตอนนั้น อาจจะกลัวกระมังคะ ดิฉันไม่กล้าไปค่ายอาสา เพราะกลัวไม่มีน้ำอาบ กลัวไม่มีห้องน้ำจะเข้า กลัวต้องไปแบกไปหามอะไรมากมาย ช่วงนั้นเรียนอย่างเดียวค่ะ (จริงๆ เรียนแกมเที่ยว เพราะอิสระ ออกมาจากบ้านแล้วนี่)

ปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้าย เริ่มคิดได้ ก่อนที่จะจบ ขอร่วมกิจกรรมอะไรสักอย่างดีกว่า ตอนนั้นเลยได้รับตำแหน่งเป็น หัวหน้าฝ่ายศิลป์สโมสรนักศึกษาคณะ ทำสารพัด ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ... พูดเล่นค่ะ ไม่มีใครให้ทำถึงขนาดนั้นหรอก หน้าที่ที่ฝ่ายศิลป์ต้องรับหน้าที่ ที่จำได้คืองานรับน้องคณะ ช่วงนั้นต้องจัดเวที แล้วก็ทำหนังสือรับน้อง ดิฉันต้องเขียนโครงการเอง ของบประมาณคณะ แล้วก็ ติดต่อโรงพิมพ์เอง ก่อนที่จะสั่งพิมพ์ ต้องลงมือเขียนด้วยลายมืออันสวยงามของตัวเองนี่แหละค่ะ (เพื่อนบอกว่าลายมือดิฉัน เหมือนเด็กสมัยใหม่ แฮ่!! นี่แหละเป็นความภาคภูมิใจ ถึงจะอายุมากแล้วแต่ยังมีลายมือวัยรุ่นอยู่ อิอิอิ)

เพิ่งมารู้ก็เกือบจะไม่มีเวลาให้ทำกิจกรรมแล้ว เพราะช่วงนั้นปีสุดท้าย ใกล้จะเรียนจบแล้ว โอกาสอย่างนี้หาได้ไม่ง่ายนัก และมันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างก่อนที่จะก้าวไปสู่โลกภายนอกสถาบันการศึกษา ก่อนที่จะเริ่มทำงาน การทำกิจกรรมเป็นการฝึกให้เราร่วมงานและสร้างมนุษยสัมพันธ์ กับคนหมู่มากได้ดีขึ้นด้วย

แต่บางคนทุ่มกับกิจกรรมมากเกินไปจนเสียการเรียนก็ไม่ดีเช่นกันค่ะ อะไรก็ตามที่เบี่ยงไปในทางที่เค้าเรียกว่า สุดโต่งแล้วย่อมไม่ดีทั้งนั้น ทางที่ดีให้ยึดทางสายกลาง ดีที่สุดค่ะ

เฮ้อ!! ไปๆมาๆก็ระลึกถึงความหลังอีกตามเคย ...อย่าเพิ่งแซวสิคะ

แค่ขอย้อนอดีตแห่งความหลังครั้งเยาว์วัย แค่นั้นเอง

..The War Of The Worlds..

เมื่อเช้าเห็นข่าว เกิดระเบิดที่สำนักสันติอโศก

อันที่จริง ไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาหลายวันแล้ว เนื่องมาจาก ความเบื่อ ที่มีแต่ข่าวเดิมๆ ซ้ำซาก ทุกวัน ไม่ได้ก่อให้เกิดความจรรโลงใจ เกิดขึ้นในชีวิต ฉะนั้น เลี่ยงที่จะเผชิญน่าจะดีกว่า

ที่เบื่อ เนื่องจาก มีแต่เรื่อง ม็อบประท้วง ทั้งหมดทั้งสิ้น บังเอิญเปิดทีวี ดู เมื่อสายที่ผ่านมา ก็เห็นว่า เกิดระเบิด ขึ้นที่สำนักสันติอโศก และ เพิ่งทราบเช่นกันว่า สันติอโศก จะไปร่วมกับม็อบ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

เห็นข่าวแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานภาพสมณะ ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับ การเมืองเลย ไม่เข้าใจว่า คนไทยทำไมไม่ค่อยดำรงอยู่ในหน้าที่ของตนเอง จะว่าไม่รู้จักหน้าที่ ก็ไม่ใช่ แต่ไม่ตระหนักมากกว่า ว่า ณ ขณะนี้ ตนเอง ทำหน้าที่อะไรอยู่ มีบทบาท อะไร สถานภาพ ควรจะทำหน้าที่ของตนเอง ให้ดีที่สุด ได้อย่างไร

นั่งนึกถึงภาพยนตร์ที่ มีโอกาสไปชมเมื่อ หลายเดือนก่อน คิดว่า หลายคนคงจำกันได้ The War Of The Worlds ยังไงล่ะคะ ที่สิ่งมีชีวิตที่มาจาก ดาวอื่นมารุกรานโลก และ ในภาพบนตร์เรื่องนี้ก็สื่อให้เห็น สงครามระหว่างชาวโลกด้วยกัน แทนที่จะอยู่กันอย่างสามัคคี และอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ก็มาทำลายล้างกันเอง

หลายวันก่อน มีข่าวโคลนถล่มที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเหมือนกัน และโคลนถล่มก็เป็นบริเวณกว้างซึ่งนั่นก็มิใช่เรื่องธรรมดา แต่ข่าวนี้ไม่ค่อยเป็นที่ทราบกัน เนื่องจากถูกกลบด้วย เรื่องของ การขับไล่นายกรัฐมนตรี

เรื่องสึนามิ ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก็ยังเป็นที่จดจำของ ประชากรโลก แต่บางที ติดตามแล้ว อดที่จะคิดไม่ได้ว่า นั่นเป็นผลมาจากธรรมชาติจริงๆหรือ หรือว่า เนื่องมาจากเหตุการณ์ 9/11 มนุษย์จ้องจะทำลายกันเอง อีกแล้ว (อาจจะคิดมากไปรึเปล่า?)

สถานการณ์ความเป็นไป รอบตัวนี่ทำให้เราคิดไปได้ต่างๆนานา

มนุษย์เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน แทนที่จะมาช่วยกันคิดแก้ไขปัญหา หลากหลายที่เกิดขึ้น แต่กลับ ทำร้าย ทำลายกัน มากขึ้นทุกวัน

หันหน้าเข้ามาหากันดีมั้ยคะ

Tuesday, February 21, 2006

..ขยะ..


ช่วงเช้าๆ สังเกตกันบ้างไหมว่า ถ้าเดินไปตามทางเท้าในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จะมีกลิ่นเหม็นโชยมา

โดยเฉพาะบริเวณป้ายรถประจำทาง ซึ่งบริเวณนี้จะมีถังขยะตั้งอยู่เรียงราย ไม่แปลกค่ะ เพราะสิ่งปฏิกูลย่อมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่แล้ว

ถังขยะจะถูกแบ่งออกตามประเภทของขยะ ไม่ว่าจะเป็นขยะเปียกหรือขยะแห้ง แต่กรุงเทพมหานครอาจจะบกพร่องในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนได้ทราบ นั่นคือ ทราบได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นประชาชนจึงได้ทิ้งขยะกันอย่างผิดๆ ถูกๆ ซึ่งคนที่ลำบาก ก็คือ เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพที่มีหน้าที่ที่ต้องเก็บขยะไปทิ้ง อีกประเภทหนึ่งที่ลำบากก็คือ ผู้คนที่สัญจรไปมาในบริเวณนั้น ที่ต้องทนกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ดังกล่าว

ถังขยะที่เราเห็นได้ทั่วไปตามที่สาธารณะ จะมีสีเขียว กับสีเหลือง แยกขยะออกเป็นขยะเปียกและขยะแห้ง ซึ่งประชาชนทั่วไปอาจจะสับสนกับขยะทั้งสองประเภทนี้ บางองค์กรจะแบ่งขยะในพื้นที่ของตัวเอง ได้ถึงสามหรือสี่ประเภทก็มี เช่น ขยะที่ย่อยสลายได้ง่าย (ของเน่าเสียได้ง่าย) ขยะที่สลายได้ยาก (recycle) และขยะอันตราย (สารเคมีต่างๆ) หรือ ที่บอกว่า สี่ประเภท ซึ่งประเภทที่สี่ ได้แก่ ขยะติดเชื้อ อันได้แก่ สารคัดหลั่งที่ออกจากร่างกายเราๆท่านๆ เช่นเลือดเป็นต้น

สังเกตว่าถังขยะที่อยู่ใกล้กับร้านอาหาร (หรือตลาด) ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้านที่อยู่บริเวณทางเท้า ถังขยะพวกนี้จะมีกลิ่นเหม็นรุนแรงมาก เนื่องจาก เวลาร้านปิดขยะซึ่งเป็นพวกเศษอาหารก็จะถูก นำมาทิ้งในบริเวณนี้ หลายถุงทีเดียวเชียวแหละ ถุงใหญ่ๆทั้งนั้น ซึ่งไม่สามารถ ใส่ลงไปในถังขยะที่ทางราชการจัดมารองรับได้ กลิ่นก็จะตลบอบอวลอยู่แถวนั้น

บางวันตามทางเท้านั่นแหละ ร้านบางร้าน ก็จะราดน้ำออกมา ส่วนมากจะเป็นน้ำที่ชะล้าง พื้นที่ที่เป็นร้านของตัวเอง และน้ำที่ไหลออกมาจาก ร้าน ก็ไปเปรอะเปื้อน ทางเท้า และลงไปบนถนนด้วยซ้ำ ซึ่งดิฉันก็งงว่า ทำไม ทางหน่วยราชการไม่กวดขันในเรื่องนี้

ตาม พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 32 ประกาศไว้ว่า “ห้ามผู้ใด เทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย หรือน้ำโสโครก หรือสิ่งอื่นใดลงบนถนน หรือทางน้ำ ” มาตรา 31 วรรค 2 ประกาศไว้ว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอยในสถานสาธารณะนอกภาชนะ หรือที่ที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้จัดไว้ ”

จากกฎหมายที่ได้หยิบยกมา ยังมีกฎหมายอีกหลายข้อที่ ยังเห็นประชาชนในบ้านเราฝ่าฝืน และเจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการ ได้ปล่อยปะละเลย นั่นทำให้ประเทศเรา ขาดความเป็นระเบียบ ต่างกับประเทศอื่นที่ เขาจัดระเบียบบ้านเมืองของเขาได้สะอาดและสวยงาม

สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความเห็นแก่ตัว ของคนที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยทำลายพื้นที่สาธารณะ ซึ่งคนหมู่มากต้องใช้ร่วมกัน

อันที่จริงหน่วยงานที่รับผิดชอบน่าจะเข้ามาจัดการ ในปัญหาพวกนี้ ไม่เช่นนั้น พวกเราก็ต้องบ่นอยู่อย่างนี้ หรือไม่ก็ อดทน สถานเดียว

บ่นมาจนจบแล้ว ขอตัวไปหาผ้ามาปิดจมูกก่อนนะคะ

Monday, February 20, 2006

..แด จังกึม..

เห็นคนอื่นพูดถึงละครเกาหลี “แดจังกึม” กันทั่วบ้านทั่วเมือง

ช่วงแรกก็ไม่ได้ติดตามเหมือนชาวบ้านเขาหรอก แต่นึกแปลกใจว่า ทำไมถึงได้ติดกันงอมแงม แต่ไปมาๆ นึกยังไงก็ไม่รู้ ลองเปิดดู ปรากฏว่า ติดเหมือนกัน

เพิ่งดูมาได้ ประมาณ4-5ตอน เรื่องดำเนินได้สนุก น่าติดตาม ได้ข้อคิดหลายอย่าง แต่น่าสงสารนางเอกจัง ทำไมถึงได้แต่งเรื่องให้นางเอกมีชีวิตที่รันทน ถึงขนาดนั้นก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ทึ่งเพราะ เธอช่างมีความอดทนเป็นเลิศ

ช่วงที่เพิ่งเริ่มดูตอนแรก นึกแปลกใจว่า ทำไมหนังเกาหลี แต่ตำราที่แพทย์ในเรื่องใช้ จึงได้เป็นอักษรจีนทั้งหมด อักษรประดับตามฝาผนังก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่เป็นอักษรจีนทั้งสิ้น แต่ก็มาถึงบางอ้อ เนื่องจากไตเติ้ลของเรื่องได้อธิบายว่า สมัยนั้น เกาหลีเป็นเมืองขึ้นของจีน ฉะนั้นเลยต้องใช้ภาษาจีน คิดว่าตัวอักษรของเกาหลี คงมีใช้ได้ไม่นานนัก


ในเรื่อง เห็นพระเอกเรียกนางเอกว่า "แม่นางซอ" เอ!! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคำว่า "แด" กันแน่ แต่แรก ดิฉันเข้าใจว่า คำว่า แด ก็คือ แซ่ ของนางเอก แต่ดูไปดูมาไม่ยักกะใช่แฮะ คนใกล้ตัวบอกว่า คำว่า แด เขียนเหมือนอักษรจีนคำว่า "ต้า" ซึ่งแปลว่า ยิ่งใหญ่ หรือ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คือ คำว่า Great ( จึงกึม, The Great ..เข้าท่าเหมือนกันแฮะ) นี่กระมัง ชื่อเรื่องเลยใช้ชื่อว่า จอมนางแห่งวังหลวง

เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความที่เป็นคนช่างสงสัย (ถ้าเป็นเด็ก คงถูกเรียกว่า “เจ้าหนูจำไม” อย่างแน่นอน) จากการที่ติดตาม ละครเกาหลีเรื่องนี้ มา สังเกตว่า คนในราชวงค์ ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องเต้ พระมเหสี หรือ พระพันปีก็ตาม (รวมทั้งพระสนมอีกคนหนึ่ง) ไม่เคยเห็นนั่งบนเก้าอี้เลย ดิฉันเห็นบุคคลดังกล่าวนั่งกับพื้น โดยตลอด ไม่ใช่ในเรื่องไม่มีเก้าอี้ให้นั่งนะคะ

เหล่าเสนาบดี เวลาประชุมก็นั่งบนเก้าอี้ หรือไม่ พวกแชซังกุง ก็นั่งคุยกับกิมยอง บนเก้าอี้ และอีกอย่าง นักโทษ เวลาถูกทำโทษก็ให้มานั่งบนเก้าอี้ทั้งนั้น แปลกนะคะ มีใครที่สงสัยเหมือนดิฉันบ้างรึเปล่านี่?

ไม่ว่าภาพยนตร์ของชาติไหนเท่าที่ติดตามชมมา ก็เห็นกษัตริย์ประทับบนบัลลังก์ กันทั้งนั้น แต่ของเกาหลีนี่แปลกดี เห็นนั่งกับพื้นตลอดเลย และท่านั่งจะเป็นท่าขัดสมาธิเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่บางครั้ง ก็เอาเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งด้วยซ้ำ (คิดว่าถ้านั่งนานคงเมื่อย เลยเปลี่ยนอิริยาบถ)

สรุปแล้วดูเรื่องนี้ก็ทำให้ได้ ความรู้ และแง่คิดอะไรได้มากมายหลายหลาก

แต่จะมีใครสังเกตเหมือนดิฉันบ้างมั้ยหนอ?

..ธรรมชาติเอาคืน..


สังเกตว่า คนไข้ที่แผนก มานอนโรงพยาบาลด้วย อาการปวดประจำเดือนกันมากขึ้น

ปกติแล้ว สตรีวัยเจริญพันธุ์ ตามภาวะปกติของร่างกาย ต้องมีประจำเดือนกันอยู่แล้ว บางคนอาจจะปวด แต่บางคนก็อาจจะไม่ปวด ก็มี เท่าที่สังเกต ปกติแล้ว ปวด แต่พอรับประทานยาแก้ปวด ก็ทุเลาลง แต่พวกที่ปวดจนกระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อนี่ ถือว่าไม่ค่อยปกติแล้ว

และที่มีอาการปวดประจำเดือนมากๆ นี่ พอวินิจฉัยออกมาแล้ว มักจะเจอกับโรคนี้ “Endometriosis” หรือ แปลเป็นไทยได้ว่า เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่าผู้หญิงเรา นับวันจะมีอัตราการเป็นโรคดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ ก็เป็นอันแปลก ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ ?

ปกติเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องอยู่ในโพรงมดลูก มีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นพื้นผิวสำหรับตัวอ่อนของทารกมาเกาะเพื่อการตั้งครรภ์ เซลล์เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มีการแบ่งตัวได้ตามการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิง และมีการสลายตัวเป็นประจำเดือนตามรอบระดู ดังนั้นตามธรรมชาติหากเซลล์เหล่านี้อยู่เฉพาะในโพรงมดลูกจะไม่เกิดปัญหา เนื่องจากร่างกายจะขับออกมาเป็นรอบเดือน แต่เมื่อเซลล์เหล่านี้ไปเจริญอยู่ในส่วนอื่น จึงก่อให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขับออกมาได้ เช่น หากไปเกาะที่รังไข่ก็จะก่อตัวเป็นถุงน้ำซึ่งเป็นที่สะสมของเซลล์เหล่านี้และเลือดประจำเดือน และเมื่อสะสมอยู่นานจะกลายเป็นเลือดเก่า ๆ ที่เข้มข้นขึ้น ลักษณะจึงเหมือนน้ำ ช็อกโกแลต จึงเรียกถุงน้ำชนิดนี้ว่า ถุงน้ำช็อกโกแลต (chocolate cyst)

เซลล์เหล่านี้อาจจะกระจายเกาะอยู่ตามอุ้งเชิงกราน ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ยังอาจจะแทรกตัวเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของผนังมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน และ เลือดประจำเดือนออกมากได้ ในรายที่แทรกตัวเข้าไปในผนังลำไส้ก็อาจทำให้เกิดอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดได้อีกด้วย

ในปัจจุบันเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ไหลตามเลือดประจำเดือน เข้าไปในช่องท้องและไปก่อตัวเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้อง การประพฤติตัวของเซลล์เหล่านี้จะไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนเพียงแค่เกาะอยู่เฉย ๆ และเจริญเติบโตเฉพาะที่ บางคนเกาะแล้วกินลึกลงไปในเนื้อเรื่อย ๆ ทำให้เนื้อเยื่อปกติเสียไป เช่น เนื้อของมดลูก เนื้อของท่อนำไข่ เป็นต้น

ทำไมแต่ละคนมีการพัฒนาตัวของโรคไม่เหมือนกันนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบ จึงมีสมมุติฐานอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายถึงกลไกการเกิดโรคอีกเพิ่มเติม เช่น ความผิดปกติของภูมิต้านทาน แต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่มีภูมิต้านทานดี เมื่อเซลล์เหล่านี้ไหลเข้าไปในช่องท้องก็จะถูกกำจัดออกไปได้โดยภูมิต้านทานของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสมมุติฐานเกี่ยวกับสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และกรรมพันธุ์อีกด้วย

พอพูดถึงสิ่งแวดล้อม วันก่อนมีโอกาสสนทนากับ สูตินรีแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับ pollution สิ่งที่ทำให้เกิดมลพิษดังกล่าวที่สำคัญก็คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั่นเอง ซึ่งพวกเราน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า อะไรบ้างที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ (พลาสติคนั่นแหละตัวดี)

แย่นะคะ สิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากน้ำมือมนุษย์เอง และสิ่งเหล่านี้ก็กลับคืนสู่มนุษย์เองอีกเหมือนกัน

ก็คงให้มันเป็นไป ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นา ป้องกันก็ไม่รู้จะป้องกันยังไง คงเกินเยียวยาแล้วล่ะค่ะ

ทำลายธรรมชาติกันต่อไปเถอะนะ !!

Saturday, February 18, 2006

..Stem Cell..

เซลล์บำบัด อีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคหัวใจ

การบำบัดด้วยเซลล์ คือ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื้อที่ถูกทำลาย
Stem cell (เซลล์ต้นกำเนิด) หมายถึง เซลล์ที่ยังไม่สามารถพัฒนาตัวเป็นเซลล์ตัวเต็มวัยได้ เซลล์นี้สามารถพัฒนาเป็นเซลล์ต่างๆ ได้ขึ้นกับอวัยวะที่เซลล์เหล่านี้เข้าไปอยู่

Stem cell สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวอ่อน (Embryonic stem cell)
2. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย (Adult stem cell)

เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน ได้แก่ เซลล์ที่มาจากการผสมระหว่างอสุจิของเพศชายและไข่ของเพศหญิงจนเกิดเป็นตัวอ่อน (embryo) เซลล์ชนิดนี้ไม่นิยมใช้แพร่หลายเนื่องจากปัญหาทางจริยธรรม เซลล์ต้นกำเนิดอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ เซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย ซึ่งอาจได้มาจากไขกระดูก กล้ามเนื้อ หรือจากเลือด เซลล์เหล่านี้ยังมีความสามารถที่จะเจริญต่อไปเป็นเซลล์อื่นได้ตามอวัยวะที่เซลล์นี้ไปอยู่ และเป็นเซลล์ที่เป็นที่ยอมรับว่าไม่ผิดจริยธรรมและมีการศึกษานำไปใช้อย่างแพร่หลาย

การรักษาโรคหัวใจที่เราเคยได้ยินนั้น มีการเลือกใช้เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ชนิดที่ได้มาจากเลือดของผู้ป่วยเองในการรักษาโรคภาวะหัวใจวายและโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในคนไข้มาแล้ว 26 ราย เซลล์นี้มีความปลอดภัยสูงและไม่ผิดหลักจริยธรรม เนื่องจากเป็นเซลล์ของผู้ป่วยเองและได้ผ่านการคัดแยกเซลล์ต้นกำเนิดออกจากเลือด แล้วนำไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอสำหรับใช้ในการรักษา
ขั้นตอนได้แก่

เก็บเลือดจากผู้ป่วยจำนวน 250 ซีซี. ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด หลังจากกรรมวิธีพิเศษจะทำให้ได้เซลล์ประมาณ 2-50 ล้านเซลล์ในปริมาณ 15 ซีซี. เพื่อใช้ในการฉีดโดยการผ่าตัดใช้กล้องผ่านรูเล็กทางหน้าอกด้านซ้าย ก่อนการฉีดเซลล์ในรายที่กล้ามเนื้อตายและหัวใจวายจากการขาดเลือด ต้องทำการตรวจแบบสัมผัสภายนอก (noninvasive) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac Magnetic Resonance Imaging หรือ CMR) ก่อนเพื่อหาบริเวณกล้ามเนื้อที่ยังไม่ตาย (viable) และกล้ามเนื้อที่ตายแล้ว (nonviable myocardium)

การฉีดเข้าไปในร่างกายทำอยู่ 2 วิธี คือ ฉีดผ่านท่อสายยาง ซึ่งแพทย์อายุรกรรมได้ทำการสวนเข้าไปไว้ในหัวใจ ก็เอาเซลล์นี้ฉีดเข้าไปด้วย อีกวิธีคือ ผ่าตัดเจาะรูทางด้านซ้ายประมาณ 3 รูแล้วส่องกล้องเข้าไปแล้วเปิดเยื่อที่หุ้มหัวใจเข้าไปก็เห็นกล้ามเนื้อหัวใจ แต่ก่อนมาถึงจุดนี้ต้องศึกษาก่อนว่าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจปกติหรือไม่ กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอย่างไร มีผลอย่างไร ต้องรู้แน่ชัดว่าควรจะฉีดลงไปจุดใด


การรักษาโดยใช้เซลล์บำบัด

ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบ จะใช้ "เอนโดธีเลียล โปรเจนิเตอร์เซลล์" ที่ได้มาจากร่างกายของผู้ป่วยในการเสริมสร้างการก่อตัวของหลอดเลือดใหม่ภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่มีการอุดตันของหลอดเลือดและบรรเทาอาการของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ซึ่งได้แก่อาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เซลล์เหล่านี้เมื่อผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยง จะถูกนำไปปลูกถ่ายโดยการฉีดเข้าสู่หัวใจของผู้ป่วยในบริเวณที่มีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ เพื่อสร้างหลอดเลือดใหม่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ เอนโดธีเลียลโปรเจนิเตอร์เซลล์บางส่วนยังสามารถแปรสภาพไปเป็นกล้ามเนื้อเรียบและเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่ช่วยส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่สูญเสียไปขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เอนโดธีเลียลโปรเจนิเตอร์เซลล์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดกลุ่มรอง มีความสามารถในการแปรสภาพไปเป็นเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดด้านใน หรือที่เรียกว่า เอนโดธีเลียม ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างหลอดเลือดใหม่และซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหาย ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหัวใจที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

Thursday, February 16, 2006

..ผิดที่ไว้ใจ..


ไว้ใจ !!

คิดอย่างไรกับคำๆนี้

คำว่าไว้ใจ ย่อมผูกติดมากับคำว่า จริงใจ อย่างแน่นอน

เมื่อวันที่ผ่านมา ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ดิฉันวางกระเป๋าไว้ ที่เก้าอี้ บริเวณที่เป็นพื้นที่ ของที่ทำงาน ซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่ ที่เห็นหน้าเห็นตากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เรียกว่า เป็นเพื่อนร่วมงาน ว่างั้นเถอะ ฉะนั้นพื้นที่นี้ไม่มีใครเข้ามาอยู่แล้ว นอกจากเจ้าหน้าที่ในแผนกเดียวกัน ทำงานร่วมกันมาตั้งนมนาน ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ถ้าของหาย ตามถนน หรือวางทิ้งเรี่ยราด ตามทางที่ไม่ใช่พื้นที่ที่เราคุ้นเคยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นที่ๆ เคยวางไว้ประจำ และ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็เป็นคนที่คุ้นเคยกันดี ไม่น่าเชื่อว่าจะทำกันได้ ขอกันยังดีเสียกว่า

บอกตามตรงว่า เสียความรู้สึก เสียแรงที่ไว้ใจ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันอีกแล้ว เฮ้อ!!

มีคนบอกว่า ทำไมไม่ให้ตำรวจตรวจรอยนิ้วมือของทุกคน และเอารอยนิ้วมือบนกระเป๋าสตางค์ไปตรวจสอบ ดิฉันบอกว่า คงเป็นเรื่องเอิกเกริกเกินไป แล้วอีกอย่างตัวเราเอง ก็ผิดที่ สัพเพร่า ความไว้ใจทำให้เราทำเช่นนั้น ผิดเองที่ไว้ใจ!!

โทษของการขโมยนี่มันร้ายแรงพอสมควร เท่าที่รู้ก็คือ ให้ออกจากงาน ถือว่าหมดอนาคตไปเลย

แต่ตอนนี้ดิฉันว่า สวรรค์ไม่เข้าข้างผู้กระทำผิดหรอกค่ะ คงได้รับโทษในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าหรอก บาปกรรมสมัยนี้ เหมือนติดจรวด

อย่างน้อย บาปก็ติดอยู่ในใจล่ะค่ะ

คนอื่นไม่รู้ แต่ตัวเองนั่นแหละที่รู้

สิ่งนั้นแหละที่จะเกาะกินหัวใจของคนๆนั้นไปอีกนาน


Wednesday, February 15, 2006

..Everyday I Love You..

14 กุมภาพันธ์ ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า เป็นวันแห่งความรัก

เดินไปทางไหน ก็มีแต่ดอกกุหลาบสีแดงเต็มไปหมด หลายคนมีกุหลาบอยู่ในมือ บางคนถือมาเพียงหนึ่งดอก บางคนก็ถือมาเป็นช่อ

เช้านี้ฟังพี่ที่ทำงานพูดถึง ตำนานกุหลาบให้ฟัง ซึ่งมีคนบอกไว้ว่า คนที่ได้รับกุหลาบ หนึ่งดอก หมายความว่า รักเดียวเธอคนเดียว กุหลาบสามดอก หมายถึงรักนิรันดร์ ส่วนกุหลาบ 108 ดอก หมายถึง คนที่ได้รับกำลังจะถูกขอแต่งงาน

เคยได้รับดอกกุหลาบทั้งเป็นดอก และเป็นช่อ ทั้งเทศกาลวาเลนไทน์ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา และเทศกาลอื่นๆ แต่ไม่ได้รู้สึกชอบกุหลาบสีแดงมากมายเหมือนสาวๆคนอื่น แต่กลับชอบดอกลิลลี่สีขาวเป็นชีวิตจิตใจ

บางคนให้ดอกไม้ใคร ก่อนที่จะมอบให้ จะต้องไปหาความหมายของดอกไม้เสียก่อน จริงๆไม่ทราบแน่ว่า ใครเป็นผู้ที่บัญญัติความหมายเหล่านี้ขึ้นมา แต่ดิฉันเอง อาศัยความชอบส่วนตัวเป็นหลัก โดยไม่เคยคิดถึงความหมายใดๆเลย

วันแห่งความรักที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่ได้รับดอกไม้ แต่การที่มีคนรักอยู่เคียงข้าง ถือว่าเป็นความสุขใจยิ่งนัก

วันแห่งความรักหรือวันพิเศษของเราจึงไม่ใช่เฉพาะ แค่วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์

แต่ให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรักของเรา

..St.Valentinus..

ประวัติวันวาเลนไทน์ ......มีประวัติอย่างไร

เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมันในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส(Valentinus) มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้ามาก

เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุกช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้นผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วยจูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆสอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง

จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของวาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า “ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม”
เขาตอบ “พระองค์เจ้าจะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน”
จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุกๆ เย็น....ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง”
วาเลนตินุสจึงบอก“พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”

จูเลีย ผู้ซึ่งมีและเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักรในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า“From Your Valentine”

ความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าจึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุสและในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา..โอ!!พระเจ้า.....เธอมองเห็นแล้ว!!!!! เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า


เขาสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม

Tuesday, February 14, 2006

..สวนรถไฟ..

อดไม่ได้ที่จะเขียนถึงสวนรถไฟ ด้วยความเป็นคนที่รักสวนสาธารณะแห่งนี้มากๆ ..

หลังจากที่เคยสงสัยว่ามีเหตุอันใด ชมพูพันธุ์ทิพย์ที่สวนรถไฟถึงได้ไม่บานเต็มที่เหมือนเช่นทุกปี คราวนี้ ดิฉันมาถึงบางอ้อแล้วค่ะ คิดว่าหลายคนคงอยากรู้สมมติฐานที่ดิฉันคาดเดาขึ้นมาด้วยตัวเอง

เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสที่ได้เข้าไปยังสถานดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่ที่คิดว่าตัวเอง รักมากพอสมควร จากที่สังเกตตั้งแต่ เดินผ่านประตูสวนเข้าไป ดิฉันเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งมีแผ่นกระดาษอยู่ในมือ กำลังยืนนับจำนวนผู้คนที่ผ่านประตูเข้ามายังสวนรถไฟ คิดเอาเองนะคะว่าคงนับจำนวนเพื่อที่จะเป็นข้อมูล ใช้ในการเก็บค่าผ่านประตูเป็นรายหัว ในอนาคตแทนการเก็บเป็นรายคันของรถที่จะเข้าไปจอดยังบริเวณพื้นที่ของทางสวนรถไฟ

เดินไปอีกนิด ก็เห็นว่ามีเต้นท์ ตั้งอยู่บริเวณสวน ใกล้ๆทางเดินเข้าไป ตอนแรกกะจะเดินผ่านไปเฉยๆแต่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงชวนคนใกล้ตัวแวะเสียหน่อย ปรากฏว่า บริเวณเต้นท์ จัดประชาสัมพันธ์ในเรื่อง การเตรียมที่จะสร้างศูนย์การศึกษา และการกำจัดน้ำเสีย ในสวนรถไฟค่ะ ซึ่งในแผ่นพับที่แจกมา จะบอกรายละเอียด เรื่องการสร้างศูนย์ประชุม และมีห้องแสดงนิทรรศการอะไรสักอย่างนี่แหละ

แน่นอน ดิฉันก็ต้องคิดถึงตึก ที่ถูกสร้างขึ้นบริเวณสวนสาธารณะ ที่เขียวที่สุดในกรุงเทพ ถ้าเป็นการสร้างโรงแรมในพื้นที่ของภาคเอกชนคงไม่แปลกค่ะ แต่นี่ไม่เข้าใจว่าทำไม เข้าถึงได้คิดสร้างตึกในสวนสาธารณะก็ไม่ทราบได้ คิดดูสิว่า ต้นไม้จะถูกทำลายลงไปสักกี่ต้น พื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานครจะถูกทำลายลงไปอีกสักแค่ไหน

ปกติแล้วที่สวนแห่งนี้ แต่ละครอบครัวจะพาลูกๆหลานๆมาวิ่งเล่น เดินเล่น หรือเด็กบางคนอาจจะลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้นหญ้านุ่มๆได้ด้วยซ้ำ แต่นี่ เขาคิดจะให้เด็กไปวิ่งเล่นในตึกอักแล้วกระนั้นหรือ ตึกที่เป็นพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า ในกรุงเทพ ยังมีไม่พออีกหรือที่จะให้เด็กเข้าไปสัมผัส? ศูนย์ประชุม หรือห้องประชุม ตามอาคารสูงรอบๆสวนยังมีไม่พอกระนั้นหรือ จึงต้องสร้างสิ่งพวกนี้ขึ้นอีก?

หลายปีที่แล้ว คิดว่าคงยังพอจำกันได้ เรื่องที่เคยมีคนคิดจะย้ายรัฐสภามาอยู่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของสวนรถไฟ แต่ก็มีผู้ออกมาคัดค้านกันจนล้มเลิกความคิดนั้นไป แต่ตอนนี้ ไม่ทราบมีใครที่มีไอเดียบรรเจิด ที่จะสร้างตึกในสวนสาธารณะอีก ไม่เข้าใจว่าทำไม จ้องจะทำลายธรรมชาติกันไม่รู้จักจบจักสิ้น


นี่
แหละค่ะ เหตุผลที่ชมพูพันธุ์ทิพย์ถึงได้ไม่บาน ดิฉันคิดว่าต้นไม้ในสวนรถไฟคงไม่พอใจเหมือนกัน

Friday, February 10, 2006

..สื่อ..

เมื่อวาน..

ไปยืนดูหนังสือที่ร้านหนังสือ ตรงบริเวณที่เป็นนิตยสาร สังเกตว่า หลังจากที่ไม่ได้เสพติด นิตยสารพวกนี้มาเป็นเวลานานพอสมควร หลายเล่มราคาพุ่งกระฉูดขึ้น ทั้งๆที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือ ปีละแค่ 6บรรทัด มีงานวิจัยออกมา แบบนี้ แล้วราคาหนังสือ แทนที่จะถูกลง แต่ก็ทำให้ คนที่อยากอ่าน เอื้อมไม่ถึงอีกจนได้สิน่า

ดูไปดูมา หลายเล่มเป็นนิตยสารที่ถูกเรียกว่า "นิตยสารหัวนอก" เลยซื้อมาเล่มหนึ่ง แปลกดี ที่บอกว่าแปลก ก็เพราะว่า เปิดอ่านด้านใน ก็มีแต่เรื่อง ส่งเสริมให้มีเพศสัมพันธ์ ถึงแม้ในนั้นจะมีหลายคอลัมน์ แต่ละคอลัมน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การแนะนำการแต่งตัว หรือ เครื่องสำอาง ก็เป็นเรื่องที่เชิญชวน ให้ขึ้นเตียงแทบทั้งนั้น

และบางคอลัมน์ ก็แสดงเรื่อง เซ็กซ์ อย่างโจ่งครึ่ม ไม่ว่าจะสอนเรื่องท่าทาง หรือเรื่อง การพูด

นิตยสารพวกนี้ หาซื้อได้ไม่ยาก เด็กวัยไหนก็ซื้อได้ทั้งนั้น ไม่เลือกว่า ใครจะมีวุฒิภาวะหรือไม่ก็ตาม อ่านแล้ว ก็ได้แต่ถอนใจ ว่าสังคมส่งเสริม เรื่องนี้กันถึงขนาดนี้แล้วหรือ? .

ไม่ปฏิเสธ กับคำพูดที่บอกว่า เราเลือกได้ ที่จะอ่านหรือไม่อ่าน ..เห็นด้วยค่ะ แต่วุฒิภาวะบอกเราได้ค่ะ สำหรับเรื่องนี้ เป็นห่วงแต่วัยรุ่น วัยคะนอง ที่อยากลอง ก่อนวัยอันควร ซึ่งมักจะก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย

เช้านี้..

เปิดวิทยุ ฟังคลื่น 102.5 ยอมรับว่า เปิดเพลงเพราะ ดีเจ สามารถให้ความบันเทิงกับผู้ฟังได้ อย่าเต็มที่ เรียกว่า เก่งว่างั้นเถอะ แต่ฟังไปฟังมา แนะนำนำเรื่อง การจูบซะนี่ จริงๆไม่ผิดนะคะ ที่จะสอน แต่มาตะหงิดๆ ใจกับเรื่องที่ให้ผู้ฟัง โทรศัพท์มา เล่าเรื่องประสบการณ์การจูบ นี่สิ แล้วคนที่โทรเข้ามาก็เป็นสุภาพสตรี เสียงเด็กๆ ซะด้วยสิ ท่าทางคงอายุไม่เกิน 20 แน่นอน แถมยังแนะนำ การจูบเหมือนเป็น ผู้เชียวชาญยังไงยังงั้น

โอ! พระเจ้า โลกเราเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้แล้วหรือ ? สังคมบ้านเรา เปลี่ยนไป และไปไกล ถึงขนาดนี้ จริงๆ ไม่น่าส่งเสริม ก่อนวันอันควรเลยนะคะ (ดิฉันว่า ตอนหลังเหล่า ดีเจ คงรู้ตัวค่ะ ที่เด็กโทรมา เลยบอกว่า ขอให้ดูวุฒิภาวะกันด้วย )

โลกยุคโลกาภิวัตน์ ...สื่อมีบทบาทอย่างมาก สำหรับยุคนี้

คนทีอยู่วงการสื่อ คงไม่อยากให้ลูกหลานของตัวเอง ตกเป็นเหยื่อแบบนี้กระมัง

..May God bless you..


ถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นคนรักของตัวเองเป็นทุกข์?

คนสองคน มาอยู่เคียงข้างกัน อย่างที่เคยบอกไว้ ร่วมสุข ร่วมทุกข์

เมื่อคนหนึ่งทุกข์ อีกคนหนึ่งจะสุขได้อย่างไร

ทำอย่างไรจะคลายทุกข์ของอีกคนหนึ่งได้ บางครั้งก็คิดไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไร

เคยพูดไว้เสมอว่า เราไม่สามารถควบคุมการกระทำของคนอื่นได้

แต่เราสามารถควบคุม การกระทำของตัวเราเองได้

การกระทำของอื่น หลายครั้งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เราไม่สามารถไปทำอะไรกับคนๆนั้นได้

ทำได้ ก็เพียง ไม่เพิ่มทุกข์ให้คนที่เรารัก ซึ่งทุกข์นั้นอาจจะเกิด จากการกระทำของตัวเราเอง

ได้แต่ภาวนา ให้คนที่เรารักนั้น คลายความทุกข์ ได้โดยเร็ว

ขอพระเจ้าอวยพระพร คนรักของฉัน

Thursday, February 09, 2006

..รักของเรา..

อ่านเรื่องราวของวิธีการดูแลความรักมามากมาย

แม้กระทั่งเขียนเองก็เคยเขียน

แต่กลับมานั่งถามตัวเองว่า เราดูแลความรักของตัวเราเองดีพอหรือยัง


เราไม่สามารถเอาความรักของตัวเองไปเปรียบกับความรักของคนอื่นได้

ความรักมิได้มีทฤษฎีตายตัว

แค่ยอมรับความเป็นตัวตนของกันและกัน ก็น่าจะเพียงพอ

คิดอย่างนี้ก็ไม่น่าจะใช่

เพราะความรัก ต้องมีการดูแล ห่วงใยซึ่งกันและกัน

ร่วมทุกข์ ร่วมสุข อยู่เคียงข้างกันและกัน ไม่ว่าจะทุกข์ หรือจะสุข

ฉันรักเธออย่างที่เธอเป็น


เธอรักฉันอย่างที่ฉันเป็น

ครบรอบหนึ่งปี ..ไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่ของฉัน

แต่เป็นหนึ่งปี...ของเรา

Wednesday, February 08, 2006

..ใจกำหนด..


สะท้อนใจกับการเจอบางเรื่องราว ..

ทบทวนและพิจารณาหลายๆเรื่องทั้งจากตัวเอง และจากคนรอบข้าง ก็พบว่า แต่ละคนมีสุข มีทุกข์แตกต่างกันไป หลายคนเลือกที่จะสุขหรือทุกข์ได้ แต่แทนที่จะเลือกสุข กลับเลือกที่จะเป็นทุกข์

ความเข้มแข็งไม่ได้อยู่ที่อายุ หรือประสบการณ์การใช้ชีวิต แต่กลับเป็นว่า อยู่ที่ใจเราทั้งหมดทั้งสิ้น

เมื่อมีความสุข ทั้งโลก สุขไปกับเรา แต่เมื่อเกิดความทุกข์ ส่วนใหญ่เราจะจมอยู่กับความทุกข์ แต่เพียงลำพัง

เมื่อเราทุกข์ เรามักจะรู้สึกว่า โลกทั้งใบนี้มีเรา อยู่แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใคร ที่มาบรรเทาทุกข์ของเราได้

เมื่อคิดวกวน หาทางออกไม่ได้ ก็วนอยู่กับความทุกข์

โดยอาจจะคิดไม่ถึงว่า

ทุกข์หรือสุขก็ล้วนแต่

ใจเราเองกำหนดทั้งสิ้น ..

Monday, February 06, 2006

..Night Scene..

เย็นย่ำ..
รถราขวักไขว่
ต่างคนต่างเร่ง ต่างคนต่างรีบ
...รีบไปให้ถึงจุดหมาย
บ้านคือ ที่ที่หมาย ที่พักพิงยามเหน็ด ยามเหนื่อย

ใกล้ค่ำ..
รีบไปให้ถึงจุดหมาย เฉกเช่นผู้คนรอบตัว
รถติด ..ใครบางคนที่รอ รอแล้วรอเล่า เมื่อไรจะมาถึง
คนที่รอก็รอ...คนที่ก็รีบก็รีบ..รีบไปรับคนที่กำลังรอ

ตะวันลับฟ้า...
แสงไฟยามค่ำ เริ่มทอแสง เจิดจ้า
ไฟตามบ้าน ไฟตามอาคาร ไฟริมถนน ไฟของรถที่กำลังเคลื่อน
ไฟประดับสีม่วงเล็กๆ ตามต้นไม้ ห้อยระย้าลงมา..
แสงไฟยามราตรีนี้ยังคงสวยงาม

ขับรถไปเรื่อยๆ..
สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีแดง
มองข้างทาง เห็นลีลาวดีต้นเล็ก ที่ปลูกอยู่ข้างทาง
..คงเพิ่งเริ่มปลูก รอวันงอกงาม
คุยกันไปเรื่อยๆ...จับมือกันไว้.. ให้อุ่น

อุ่นใจ..