Friday, March 31, 2006

..สอบ..


วันนี้ขอเล่าเรื่องสมัยเด็กดีกว่า

ตอนที่ฝนตก นึกถึงตอนที่เป็นเด็กประถม ปีนั้นน้ำท่วมค่ะ โรงเรียนของดิฉันก็พลอยโดนด้วย ใครที่มีประสบการณ์อย่างนี้คงพอจะจำบรรยากาศได้บ้าง
จำได้ไหมคะว่า ตอนเป็นเด็ก เรามักจะดีใจที่ไม่ต้องไปโรงเรียน หรือไม่ถ้าท่วมไม่มากถ้าไปโรงเรียนได้ก็สามารถที่จะใส่รองเท้าฟองน้ำไปได้ และสมัยนั้นรองเท้าฟองน้ำจะน่ารักมาก จำได้ว่า เป็นสายเสือยี่ห้อบาจา ดิฉันล่ะชอบใส่มากเลย สรุปว่าพอมีน้ำท่วมเด็กๆจะสนุกมาก ไม่เคยคิดถึงพิษภัยของน้ำท่วมเลย

แล้วเทียบกับตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วความคิดจะไม่เหมือนกับตอนเป็นเด็ก เราจะรู้สึกว่าอุทกภัยเป็นภัยที่ร้ายแรง สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมชาติบันดาลให้เกิดขึ้นมา ไม่ใช่ภัยที่เกิดจากมนุษย์ก่อให้เกิดขึ้น

ดูสิพูดถึงเรื่องสมัยเด็ก แต่ไหงกลับวกเข้ากับเหตุการณ์ของบ้านเมืองอีกจนได้ แหะ แหะ ดิฉันน่ะพวกชอบเหน็บค่ะ อย่าถือสาหาความเลยนะคะท่านผู้อ่านขา
ช่วงที่เราอยู่ในวัยเรียน เรามักจะมีการสอบอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น test ,mid term หรือ final หรือาจจะเป็นสอบอะไรต่อมิอะไรมากมายจนจำไม่หวาดไม่ไหว แต่แทนที่จะเป็นความเคยชิน แต่ก็ไม่ชินสักที เกลียดจริงๆเลยนะคะเรื่องของการสอบเนี่ย ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนที่เกลียดการบังคับจิตใจ ดังนั้นดิฉันเลยไม่ชอบอ่านหนังสือเรียน จริงๆ ชอบอ่านหนังสือ แต่ยกเว้นอย่างเดียวคือหนังสือเรียน ขอย้ำ หนังสือเรียนเท่านั้น

ไม่รู้เป็นไง ไม่ชอบอ่านหนังสือเรียน เชื่อไหมคะว่า สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย บางวิชาอ่านหนังสือคืนเดียวก็มี บางครั้งอ่านไม่จบเล่ม อ่านยันเช้า ก็หนังสือเล่มหนา300-400 หน้า ใครจะอ่านภายในคืนเดียวได้ ผลเป็นไงทราบไหมคะ ก็ได้ C มารับประทานสิคะคุณขา และวิชาอื่นๆที่เป็นวิชาท่องจำ ดิฉันก็ไม่ค่อยถนัด (ก็ไม่รู้มาก้าวเข้ามาในวิชาชีพนี้ได้ไงกันนี่!! งงเหมือนกัน)

ดิฉันไม่ชอบอ่านหนังสือไปสอบ ดังนั้นวิชาที่มักจะได้คะแนนดีๆ ก็คือวิชาที่ไม่ต้องอ่านหนังสือ โดยเฉพาะวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษนี่มักจะได้ A อยู่เรื่อย สมัยนั้น ภาษาไทยจะเน้นเรื่องการใช้ภาษา พอสอบ ก็จะเป็นข้อสอบที่ต้องมานั่งเขียน แต่งเรียงความ เขียนบทความส่งอาจารย์ ดิฉันก็เพ้อเจอไปเรื่อยเปื่อย

สืบเนื่องมาจนถึงเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ก็มีการสอบอย่างที่เล่าให้อ่าน แต่ไม่รู้แนวข้อสอบมาก่อน ดังนั้นเลยไม่รู้ที่จะอ่านหนังสือจากที่ไหน เพราะถ้าอ่านก็ต้องอาศัยการอ่านแบบหว่านค่ะ สรุปแล้ว ก็ต้องใช้กึ๋น และวิธีเดา เหอ เหอ ผลเป็นไงก็ต้องรอดูกันต่อไป

เพราะดิฉันไม่ได้อ่านหนังสือสอบ



( ภาพ :Victorian Garden โดย Chiu )

Thursday, March 30, 2006

..โล่งใจ..



คุณหลงทางกันบ่อยแค่ไหน?

ว่ากันว่า "หลงทางเสียเวลา หลงติดยาเสียอนาคต"

เมื่อเช้าดิฉันหลงทางค่ะ เป็นปกติ เมื่อออกนอกเส้นทางแล้ว หลงทางทุกทีสิน่า ด้วย่วา จำเป็นต้องไปสอบเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเอง แต่สนามสอบไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลที่ดิฉันทำงานอยู่น่ะสิ แต่อยู่ที่โรงพยาบาลที่อยู่ในเครือเดียวกันนี่แหละ แต่อยู่ห่างกันคนละโยชน์เลย (ดิฉันจำไม่ได้แล้วล่ะว่า 1โยชน์เท่ากับกี่กิโล ถ้าใครจำได้ช่วยเฉลยหน่อยนะ ขอรับ) คือว่า โรงพยาบาลที่ว่านี้อยู่ ฝั่งธนบุรีค่ะ

ดิฉันสอบถามเส้นทางจากรุ่นน้องที่ชำนาญเส้นทางดี แต่ไม่รู้จักถามให้ละเอียด กระหยิ่มใจคิดว่าตัวเองชำนาญเส้นทางบนทางด่วนดี แต่แม้ที่จริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เริ่มต้นเส้นทางบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สังเกตกันไหมว่า ทางด่วนมีอยู่ทั้งสองฟากถนน ด้วยความเคยชิน จึงเลือกทางด่วนฝั่งตรงข้ามที่ทำงาน ดูป้ายไปเรื่อยๆ มีคนบอกว่า อย่าไปตรงเส้นทางที่บอกว่า บางนา-ดาวคะนองนะ ให้ไปทางพระรามเก้า ดูสิ เลยตรงไปทางพระรามเก้าเรื่อยๆ กลายเป็นไปลงแถว ซอยศูนย์วิจัย ดูสิ คนละที่ละทางเลย โชคดีที่รถไม่ติด เลยหาทางกลับอนุสาวรีย์ชัย ไปตั้งต้นใหม่

รุ่นน้องคนที่บอกทาง บอกทางตั้งแต่ถนนจันทน์น่ะสิคะ ดิฉันเลยรู้เส้นทางเริ่มต้นตั้งแต่ถนนจันทน์ แต่ก่อนถึงถนนจันทน์ ไปไม่ถูกเลย ทำไงดีล่ะทีนี้ น้องคนที่ว่านี้ ไม่เปิดโทรศัพท์อีก เพราะ ยังไม่ถึงแปดโมง ดิฉันเลยโทรศัพท์หาน้องสาว ปรากฏว่า ต้องขึ้นทางด่วนฝั่งเดียวกับที่ทำงาน แต่ดิฉันเข็ดค่ะ ยังไม่แน่ใจนัก เลยกดโทรศัพท์ไปถามเส้นทาง ที่ 1197 เลยรู้เส้นทางที่แน่นอน โอ!! ดูป้ายตามทางด่วนเรื่อยๆ ก็ไปถึงที่หมายจนได้

ไม่น่าเชื่อว่า จากอนุสาวรีย์ชัยไปถึงถนนเพชรเกษมใช้เวลาเพียง15นาทีเท่านั้น เกิดความรู้ใหม่ที่ว่า คนที่มีบ้านอยู่ฝั่งพระนคร เวลาไปทำงานแถวฝั่งธนบุรีจะสบายใช้เวลาเพียงน้อยนิด ไม่เหมือนคนที่อาศัยอยู่ฝั่งธนบุรีแล้วไปทำงานฝั่งพระนคร

แค่หลงทางดิฉันก็มึนแล้วค่ะ ไปถึงหน้าห้องสอบก่อนเวลาประมาณ 40นาทีเห็นจะได้ พักเหนื่อยเล็กน้อย แต่พอเห็นข้อสอบ โอ!!แม่เจ้า อะไรกันนี่ ไม่เข้าใจว่าจะวัดผลอะไร งงไปหมดเลยค่ะ เดาผิดเดาถูกไปเรื่อย พอถึงคำถามข้อสุดท้ายนั้นเป็นการสอบถามความคิดเห็น เหมือนสัมภาษณ์นางงอม เอ้ย!!นางงามยังไงยังงั้นเลย ท่านผู้อ่านคงเดาถูกนะคะว่า คำถามที่กรรมการสัมภาษณ์นางงาม เขาสัมภาษณ์กันว่าอย่างไร (ดิฉันไม่รู้จะตอบยังไงเพราะ ไม่เคยผ่านเวทีนางงามมาเสียด้วยสิ)

ถ้าเดาไม่ถูก ดิฉันบอกให้ก็ได้ค่ะ นั่นคือ ถ้าคุณได้รับตำแหน่งนางสาวไทย คุณจะทำอะไรเพื่อสังคม ? อะไรประมาณนี้แหละ

เมื่อเป็นเช่นนี้ดิฉันจึงร่ายเลยสิคะ ร่ายแบบมั่ว เลอะเทอะไปหมด พอออกห้องสอบมา ไม่รู้จะทำอย่าไร หัวเราะอย่างเดียวค่ะ มีสิ่งที่ดี ที่รู้สึกได้คือ โล่งเลย จากที่รู้สึกว่า แบกภาระอะไรไว้สักอย่าง พอสอบเสร็จก็เบาแล้ว ซึ่งผลจะเป็นอย่างไร ก็ช่างปะไร เนื่องจาก ได้ทำ เท่าที่จะทำได้

คิดดังนี้ ก็สบายใจแล้วค่ะ

( ภาพ : Seaside View โดย Dominguez )

Tuesday, March 28, 2006

..I am fired (by myself)..


เมื่อวานนี้หยิบเอาแฟ้มมานั่งอ่าน

แฟ้มที่บอกก็คือ แฟ้มที่เก็บรวบรวมเนื้อหาและเรื่องราวที่ตัวเองเขียนลงในMBlog ไม่น่าเชื่อว่า จะรวบรวมได้ถึง 3แฟ้ม ระยะเวลาที่เขียนอยู่ที่นั่นประมาณ ปีกว่า มีความทรงจำเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เรื่องที่น่าจดจำ และเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำ

บ่อยครั้งที่ห้ามกระบวนการคิด และความทรงจำของตัวเราเองไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่มีคนชอบบอกว่า อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ ที่นั่นมีทั้งมิตรภาพดีๆ หรือไม่บางวัน ก็มีเรื่องให้ขุ่นข้องหมองใจ กันก็มี แต่ทว่า ดิฉันก็ได้อะไรจากที่นั่นกลับมามากพอสมควร

เปิดดูเรื่องราวแต่ละเรื่องในแฟ้มที่เก็บรวบรวมไว้ บางเรื่อง ก็รู้สึกว่า ไม่น่าเชื่อว่า ตัวเองจะเขียนออกมาได้ ถึงขนาดนั้น และสำหรับบางเรื่อง ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะเขียนได้แบบที่เรียกว่า ไม่เป็นแก่นสารเอาเสียเลย

ที่นั่น เหมือนกับหมูบ้านหนึ่งที่มีคนเข้ามาลงหลักปักเสา หรือไม่ก็ แต่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป มีผู้คนจากหลายสารทิศแวะเวียนเข้ามา แรกๆ ก็ดูอบอุ่นดี แต่เวลาผ่านไป ผู้คนมากหน้าหลายตา ความวุ่นวายก็มักบังเกิดขึ้นตามจำนวนของผู้คนที่แวะเวียนเข้ามา ธรรมดาค่ะ เพราะ "คน" แปลว่า 'ยุ่ง' ยิ่งไอร้อน จากภายบอกหมู่บ้าน แผ่กระจายเข้าไป ในหมู่บ้าน เป็นธรรมดาอีกนั่นแหละ ที่แห่งนั้น ก็เริ่มร้อนระอุขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นชุมชนไหนก็ตาม หรือที่ทำงานก็เหมือนกัน หากมีการขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพนักงานในองค์กรนั้นๆ ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าจะเป็นผู้ที่เข้ามาตัดสินความถูกความผิด ซึ่งนั่นก็ต้องใช้ระเบียบปฏิบัติขององค์กรมาอ้างอิง แต่ ถ้าเราไม่พอใจระเบียบปฏิบัติขององค์กร หรือต่อต้าน ระเบียบซึ่งเป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันมา เราจะทำไงคะ ในเมื่อเราไม่ได้เป็นเจ้าขององค์กรนั้นๆ

มีคนเคยบอกว่า ในเมื่อเราไม่สามารถไล่องค์กรออกจากตัวเราได้ ดังนั้นเรานั่นแหละ ควรที่จะเป็นผู้ที่ไล่ตัวเองออกจากองค์กร

ซึ่งดิฉันก็ได้ทำไปแล้ว

( ภาพ : The Conversation โดย Daly Jim )

Monday, March 27, 2006

..ส้นสูง..



หญิงไทยสมัยนี้ มีจำนวนน้อยมากที่ไม่ใส่รองเท้าส้นสูง

เดินไปที่ไหนก็เห็นมีคนใส่รองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะวันทำงาน ทั้ง5วันของสัปดาห์ ดิฉันเอง ก็เช่นกัน เมื่อก่อนใส่รองเท้าส้นเตี้ยแล้วเดินไม่ถนัดค่ะ คิดว่าเป็นความเคยชินเสียมากกว่า ใส่ส้นสูงแทบทุกวัน วันหยุดก็ยังไม่ใส่ส้นเตี้ย

มาตรฐานหญิงไทย (โบราณ) เกิดมาตัวเล็ก ทำไงได้ล่ะคะ การที่จะทำให้ตัวสูงขึ้นได้ก็จำเป็นต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงนี่แหละ ไม่เหมือนผู้หญิงจีน ที่ฮิตต่อกระดูกขา คิดว่าหลายคนคงได้อ่านจากบทความในหนังสือกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม่ก็จากสารคดี ที่เห็นทางหน้าจอทีวี ก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ สำหรับในความคิดเห็นของดิฉันเองนั้น คิดว่าอันตรายค่ะ การผ่าตัดกระดูก เสี่ยงต่ออะไรต่อมิอะไรสารพัด เกิดมีการติดเชื้อด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว

เอาเป็นว่า เรากลับเข้ามาสู่ประเด็นเรื่องรองเท้าส้นสูงกันดีกว่า อันที่จริงแล้ว การใส่รองเท้าส้นสูงทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นได้ ยิ่งสูงมากๆ ยิ่งมีความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังมาก


แล้วขนาดส้นรองเท้าขนาดเท่าไร เราจะเรียกว่า “ส้นสูง” ล่ะ?

เขาบอกเอาไว้ว่า ในเพศหญิง ถ้าส้นเท้าสูงประมาณ 4 1/2 เซ็นติเมตร และในเพศชาย ถ้ารองเท้าสูงประมาณ 3 1/2 เซ็นติเมตร นั้น เรานับว่าเขากำลังใส่รองเท้าส้นสูง

ส้นรองเท้าจะสูงเท่าไร จึงจะก่อให้เกิดอันตรายนั้น เป็นสิ่งที่พูดยาก เนื่องจากว่ามีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาสัมพันธ์ด้วย เช่น รูปร่างของคนๆ นั้น อ้วน หรือผอม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในคนที่กล้ามเนื้อฝ่าเท้า และขาแข็งแรงก็ย่อมจะเกิดอันตรายได้น้อยกว่าประการสุดท้าย ขึ้นอยู่กับความเคยชินที่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงมาเป็นเวลานานๆ แต่อย่างไรก็ตามก็จะขอแนะนำว่า " การสวมรองเท้าส้นสูง ที่มีส้นรองเท้า แหลม และสูง ย่อมจะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้มากกว่า การสวมใส่รองเท้าที่มีส้นทึบ และเตี้ย"

อันเนื่องมาจากว่า ขณะที่ใส่รองเท้าส้นสูงนั้น พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เช่น อาการปวดเมื่อย เช่น ที่ฝ่าเท้า นิ้วเท้า น่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ากล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป จนทำให้เกิดการเมื่อยล้า หรือกล้ามเนื้อบางมัดถูกยืดมากเกินไป หรือกล้ามเนื้อบางมัดหดเกร็งอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น กล้ามเนื้อน่อง ย่อมจะทำให้ การไหลเวียนเลือดไม่ดี และในที่สุดเกิดการกดของเอ็นร้อยหวายได้ นอกจากนี้ที่อยากจะเน้นมากคือ การปวดหลัง และปวดเท้า

อาการปวดบางตำแหน่ง เช่น นิ้วเท้า มีหนังด้าน หรือเล็บขบ ซึ่งเกิดจากการถูกบีบหรือกดทับ หรือถูกเสียดสีมากเกินไป และประการสุดท้าย การเกิดอุบัติเหตุ เช่น เท้าแพลง หรือกระดูกหัก เมื่อหกล้ม

ดูสิคะ อันตรายของรองเท้าส้นสูง อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง คิดอยากจะเปลี่ยนมาเป็นรองเท้าส้นเตี้ยกันรึยัง?

ที่มาของเนื้อหาทางวิชาการ : http://www.si.mahidol.ac.th




( ภาพ : Her Mothers Shoes โดย Townsend John )

Saturday, March 25, 2006

..แพนงไก่ทอด..


“แพนงไก่ทอด”

แปลกไหมคะ ชื่อเมนูอาหารเมนูนี้?

ดิฉันเองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกันค่ะ แปลกดี แต่พอลิ้มลองรสชาติของอาหารก็เกิดอาการติดอกติดใจ คนที่ไปรับประทานด้วยก็บอกว่าอร่อย จนครั้งต่อๆ มาก็มักจะไม่พลาดกับเมนูอาหารมื้อนี้

คิดว่า ใครที่ถนัดทำอาหารก็คงจะทำได้ไม่ยากนัก กับเมนู แพนงไก่ทอด ดิฉันเองก็เคยทำแพนงค่ะ แต่จำสูตรเครื่องแกงไม่ค่อยจะได้ ส่วนใหญ่อาศัยซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดใกล้บ้าน แต่ไม่ได้ใช้ในทันทีนะคะ ถ้าเป็นสูตรของคุณแม่ ท่านจะให้เติม ผิวมะกรูดกับกะปิลงไปด้วยนิดหน่อย

หากใครที่ไม่อยากจะซื้อน้ำพริกสำเร็จ หากว่าอยากจะทำเอง ก็ทำได้เลยนะคะ แบบว่าใครใคร่โขลก ก็โขลก แฮ่!! เครื่องปรุงของน้ำพริกก็มีดังต่อไปนี้ค่ะ
พริกแห้งแกะเม็ดแช่น้ำพอนิ่ม 9 เม็ด ประมาณ 1/4 ถ้วยตวง
ผิวมะกรูดซอย 1 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
ลูกผักชีคั่วป่น 2 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น 1/2 ช้อนชา
ข่าซอย 1 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 2 ช้อนชา
กระเทียมซอย 1/4 ถ้วยตวง
หอมซอย 1/4 ถ้วยตวง
รากผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนชา
ถั่วลิสงคั่วโขลกละเอียด 2 ช้อนชา

วิธีทำก็คือ โขลกส่วนผสมน้ำพริกแกงให้ละเอียด

เอาล่ะ ต่อไปก็ เตรียมกะทิมาใส่กะทะ เคี่ยวหัวกะทิพอเดือดแบ่งไว้ 1/4 ถ้วยตวง ที่เหลือเคี่ยวจนแตกมัน ใส่น้ำพริกลงผัดจนหอม เติมหางกะทิไปเรื่อยๆ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล จนรสชาติได้ที่แล้ว พักไว้ก่อน

ขั้นตอนต่อไป ผสมแป้งโกกิ (หรือฉลากทองก็ได้ แล้วแต่ความชอบ) กับน้ำ ดูส่วนผสมข้างซองก็ได้ค่ะ เลือกไก่ เอาเนื้อไก่ ส่วนอกหรือสะโพกก็ได้ เลาะกระดูกออกให้หมด ให้เหลือแต่เนื้อ เอาเนื้อไก่ มา ชุบแป้งทอด ให้เหลืองกรอบ (อย่าไหม้นะคะ) สุกแล้ว นำมาใส่จาน หั่นให้เป็นชิ้นๆ

จากนั้น หาใบมะกรูดหั่นฝอย (หาแถวไหนดี...ก็หั่นเองเองสิคะ อิอิ ) มาโรยบนไก่ทอด เวลาจะรับประทานก็เสิร์ฟ โดยการ นำไก่ทอดที่โรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย มาวางบนจานที่สวยงาม ดิฉันชอบจานสีดำค่ะ ที่คนญี่ปุ่นมักจะใช้ใส่อาหาร พอเอาไก่ทอดวางบนนั้น โห!! สีสันสวยงาม จากนั้นนำน้ำพริกแพนงที่ผัดไว้มาราดบนไก่ทอด รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆ

เป็นไงคะ น่าอร่อยไหมล่ะ

ลองวันนี้เลยสิคะ

( ภาพ : In love โดย Robert Marcus )



Friday, March 24, 2006

..บริจาคเลือด..



กรี๊ดดดดด!!

เสียงคนไข้คนหนึ่งร้องขึ้นมา ตอนที่ดิฉันจิ้มเข็มลงไปที่หลังมือของเธอค่ะ ไม่ใช่แค่กรีดร้อง แต่ขาของเธอถีบไปมาอีกต่างหาก

บรรยายแบบนี้ หลายคนคงนึกว่า เป็นคนไข้ที่ยังเด็กๆ แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ ตัวเลขที่บ่งบอกอายุของเธอนั้น ถือได้ว่าอยู่ในช่วงของวัยกลางคนแล้ว อายุมากกว่า ดิฉัน เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ เธอคนนี้ร้องจนดิฉันตกใจ แต่ก็ต้องควบคุมสติ เพื่อให้ บรรลุจุดมั่งหมายคือ ให้เข็มที่แทงลงไปนั้น เข้าไปในเส้นเลือด ไม่ได้ออกมานอกเส้นเลือด

หากควบคุมสติไม่ได้และตกใจไปกับอาการของคนไข้ที่อยู่ตรงหน้า มือของเราอาจจะสั่น และอาจทำงานชิ้นนั้นต่อไปไม่ได้แน่นอน ไม่ใช่ว่าดิฉันโหดนะคะ แต่จำเป็น ต้องปฏิบัติเช่นนั้น เนื่องจากคนไข้จำเป็นต้องได้ยาที่ให้ทางเส้นเลือดต่อไป จริงๆ เส้นเลือดเดิมที่เคยให้ยาไปแล้วนั้น เริ่มบวมแดง ขืนให้ต่อไป บริเวณนั้น อาจเกิดการอักเสบตามมาได้ หรือที่เรียกกันว่า phlebitis

ตัวดิฉันเองไม่ใช่ว่า ไม่เคยถูกเข็มแทงลงไปเหมือนคนไข้คนนี้ อันที่จริงมีประสบการณ์ดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ไม่ว่า ตอนที่เปลี่ยนสถานภาพเป็นคนไข้ ดิฉันก็เคยถูกแทงเข็มเข้าเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นการให้ยา หรือให้น้ำเกลือก็ตาม แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ค่อนข้างอดทน จึงเก็บอาการ เหล่านี้ไว้ได้

บางคนอาจจะยังจำได้ ตอนที่เคยเล่าว่า เคยแทงเข็มเพื่อให้น้ำเกลือแก่คนใกล้ตัว ของดิฉันเองตอนที่ป่วย แล้วต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้น ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องออกมาจากปากเลย (อาจจะด้วยความกลัว หรือตกใจจนช็อค อิอิ ล้อเล่นค่ะ) หรือไม่ก็เพื่อนที่ทำงาน เคยไหว้วานให้ฉีดยาให้ ดิฉันก็ทำ แทบทุกคนบอกว่า ไม่รู้สึกอะไร แต่ดิฉันงงกับอาการของคนไข้

วันนี้ก็ไปบริจาคเลือดมา ตามกำหนดค่ะ ครั้งที่22 แล้ว คนที่เคยไปบริจาคเลือด คงเห็นเข็มที่เจ้าหน้าที่ ทิ่มแทงลงไปที่แขนของเรา เข็มนั้นเป็นเข็มเบอร์ใหญ่พอสมควร ไม่เช่นนั้นแล้ว เม็ดเลือดอาจผ่านทะลุลงไปยังถุงรับเลือดไม่ได้ อาจจะเกิดการแตกตัวเสียก่อน ไม่มีประโยชน์ค่ะ

วันนี้เป็นวันศุกร์ แปลกใจที่ไม่ค่อยมีคนมาบริจาคเท่าไรนัก ไม่ต้องหยิบบัตรคิวอีกต่างหาก ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้น ได้รับคำตอบว่า ไม่แน่นอน บางวันคนมาก บางวันคนน้อย แล้วแต่จังหวะ แต่อย่างไรก็ดี ทางสภากาชาด ก็ต้องการเลือดที่จะใช้ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับเลือดอีกมากค่ะ

ถ้าร่างกายใครพร้อม ดิฉันเชิญชวนให้ไปบริจาคเลือดกันนะคะ

ไม่ต้องกลัวเข็มหรอกค่ะ เจ็บไม่มาก ทนกันได้แน่นอน ขอรับรอง


( ภาพ : Sunflower โดย Barton Dawna )

Thursday, March 23, 2006

..ท้องอืด..


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคนไข้ท้องอืดกับเกือบทั้ง ward

บางคนอาจไม่ทราบว่า ward คืออะไร ward นั้นก็คือ หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลค่ะ ที่บอกว่าคนไข้ท้องอืด เนี่ย บ่อยครั้งที่เป็นผลสืบเนื่องมาจาก หลังผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องหรือว่า ผ่าตัดผ่านกล้องก็ตาม แต่ที่ประหลาดก็คือ ท้องอืดกันระนาว บางคนดูไม่น่าจะท้องอืดเลยนะคะ แต่ก็ยังอืด

บางคนที่เคยได้รับการผ่าตัดมาแล้ว คงยังจำกันได้ ว่าคุณหมอหรือคุณพยาบาล จะมากระตุ้นให้คุณต้องลุกจากเตียงให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะหลังผ่าตัด 24ชั่วโมงแล้ว จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ การลุกเดิน เป็นการกระตุ้นให้ระบบทางเดินอาหารได้มีการขยับเขยื้อนไปด้วย ถ้าระบบทางเดินอาหารไม่ขยับ อาการท้องอืดก็จะมาเยือน ดังนั้น การเดินก็เป็นผลดี ต่อตัวคนไข้นั่นเอง กรณีนี้หากว่าคนไข้ไม่รู้ จุดประสงค์ของการกระตุ้นให้เดิน คนไข้คนนั้นก็จะแสดงอาการรำคาญคนที่มาคอยบอก คอยแนะนำ

ไม่เพียงแต่เฉพาะคนไข้ แต่ตัวดิฉันเองก็เช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ท้องอืดแทบทุกวัน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เดาเอาว่า อาจจะเป็นเพราะ กระเพาะอาหารของดิฉันเองทำงานไม่ค่อยจะปกตินัก โรคกระเพาะอักเสบมักจะมาเยือนเสมอๆ เพราะ ทานอาหารไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา บางทีก็เครียดโดยไม่รู้ตัวก็มี ดิฉันว่าเรื่องธรรมดานะคะ ทำงานแบบนี้ ใครไม่เครียดก็คงประหลาด

มาพูดถึงเรื่องท้องอืดกันต่อดีกว่า จากการวิเคราะห์ (เอาเอง) มันน่าจะเกี่ยวกับอากาศที่ร้อนมาก ก็เป็นได้ บางคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไร เรามาลองพิจารณาดูสิคะ ว่า อากาศร้อนๆ อาจจะทำให้อุณหภูมิในตัวเราร้อนตามไปด้วย เคยสังเกตไหมคะ เวลาต้มน้ำ ในกาต้มน้ำหรือในหม้อที่เดือดๆ ฝาของกาน้ำร้อนจะถูกแรงดันจากไอน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น กระเพาะ อาหารของเราก็เช่นกัน คงมีสภาพเช่นเดียวกัน ..เป็นไงคะ ไอเดียบรรเจิดดีไหม เพื่อนที่ทำงาน ถามว่า ดิฉันคิดได้ยังไง อิอิ....ขอตอบค่ะว่า เรื่อยเปื่อย เรื่อยๆ เปื่อยๆ กรุณาอย่าเชื่อง่ายๆ มิฉะนั้นอาจจะเปื่อยได้

ที่กล่าวไปข้างต้นนี้ เป็นสมมติฐานที่ดิฉันคิดขึ้นมาเองค่ะ จริงๆอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ อาจเป็นเพราะ เชื้อโรคบางชนิดที่สามารถเจริญเติบโต และแพร่กระจายได้ดี ในอุณหภูมิแบบนี้ก็ได้ ดูสิคะ มีคนป่วยอาการหนักที่เกิดจากการรับประทานหน่อไม้ที่มีเชื้อ Clostridium Botulinum สิ ใครจะคิดว่า อยู่ๆ เชื้อนี้ ก็ระบาดขึ้นมา จริงๆ ที่เล่าเรื่องท้องอืด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเชื้อนี้นะคะ กรุณาอย่าเข้าใจผิด เรื่องท้องอืด เรื่องโรคกระเพาะ อาจจะเกี่ยว กับเชื้อ Bacteria ตัวหนึ่งที่หลายคนเคยได้ยิน นั่นคือ Helicobacter

เอาเป็นว่า เรามาดูสาเหตุของอาการท้องอืดกันดีกว่านะคะ

ท้องอืดเนี่ยอาจจะมีสาเหตุมาจาก

1.โรคในระบบทางเดินอาหารเอง ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร เป็นต้น
2. โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก ได้แก่ ยาต่าง ๆ ที่เรารับประทาน ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่ ยาแก้ปวดข้อทั้งหลาย ยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะ และลำไส้บีบตัวน้อยลง เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง เครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ บุหรี่ อาหารที่ย่อยยากหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่มีกากมาก ๆ อาหารรสจัด
3. โรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
4. โรคของตับอ่อน
5. โรคทางร่างกายอย่างอื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์

ถามว่า พฤติกรรมในการรับประทานอาหารมีส่วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องอืดหรือไม่ ศ.พญ.ศศิประภา บัญญพิสิฏฏ์ ได้ตอบว่าพฤติกรรม ในการรับประทานอาหาร มีส่วนด้วยอย่างแน่นอน เช่น การรับประทานอาหารรสจัด จะทำให้เยื่อบุอาหารอักเสบ การรับประทานอาหารรีบร้อน เคี้ยวไม่ละเอียด รับประทานครั้งละมากไป รวมทั้งรับประทานอาหารย่อยยาก รับประทานอาหารมัน อาหารประเภทผักจะมีเส้นใยปริมาณมาก ร่างกายเราไม่มีน้ำย่อยที่จะทำการย่อย เส้นใยเหล่านั้น แบคทีเรียในลำไส้จะเป็นตัวช่วยย่อยทำให้เกิดมีกรดบางอย่างนั้น อาจจะทำให้ท้องอืดได้ ถ้ารับประทานมากไป แต่อาหารที่มีเส้นใยมากก็จะมีประโยชน์ในเรื่องของการขับถ่ายจะทำให้ขับถ่ายสะดวก อาหารประเภทนม ในคนแถบเอเชียจะไม่มีน้ำย่อยที่ย่อยนม หรือมีปริมาณน้อย เมื่อรับประทานจะทำให้มีอาหารท้องอืด หรือท้องเสีย ได้ถ้ารับประทานมาก

มาดูวิธีแก้ไขเบื้องต้น อาจจะใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาขับลม หรือ ยาธาตุน้ำแดง ลองรับประทานดูก่อน ปรับอาหารให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย รับประทานแต่พอควรไม่ให้มาก ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

สำหรับการปฏิบัติตัวในผู้ที่มีอาการท้องอืดและการป้องกันนั้น ก็ไม่ควรดื่มสุรา หรือ แอลกอฮอลล์ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง บุหรี่ น้ำชา กาแฟ ส่วน ผู้ที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องอืด หรือท้องเสีย อาจจะขาดน้ำย่อย ใช้ย่อยนม ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงในการกินอยู่และการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรับประทานอาหารประเภทผักที่มีเส้นใยมากๆ ถ้ารับประทานอาหารมากไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดเกินขึ้นได้ เพราะเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารร่างกายเราย่อยไม่ได้ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวช่วยย่อยสลาย แต่อย่างไรก็ตามอาหารประเภทผัก ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้การขับถ่ายสะดวก สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรรับประทานอาหารครั้งละมากๆ แต่ควรจะมีอาหารว่างระหว่างมื้อ รับประทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดไม่ควรรีบร้อน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ดิฉันเอง ก็ทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะธรรมชาติ ของดิฉันเป็นคนที่ดื้อเหลือเกิน ใครที่ไม่อยากทรมานจากอาหารท้องอืดท้องเฟ้อก็กรุณาอย่าดื้อเหมือนเช่นดิฉันนะคะ

อย่างไรก็ดี ใครที่ท้องอืดบ่อยๆ ก็ขอให้ หายจากท้องอืดไวๆ


หมายเหตุ : ท้องอืดหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับคำสาปแช่งแต่ประการใดค่ะ อิอิ


( ที่มาของเนื้อหาวิชาการ : http://www.si.mahidol.ac.th )



( ภาพ : Daydreams โดย Stone Marcus )










Tuesday, March 21, 2006

..Zathura..



ใครไปดูภาพยนตร์เรื่อง Zathura มาแล้วบ้าง?

ดิฉันมีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ทั้งเรื่องจะเป็นเรื่องราวของสองพี่น้องที่ทะเลาะกันเป็นอาจิณ อันที่จริง ครอบครัวนี้ มีลูก3คน คนแรกเป็นลูกสาว อยู่ในช่วงวัยรุ่น ส่วนลูกชาย2คน อายุไม่ห่างกันมากนัก จากการเดา คงไม่เกิน5ปี ดังนั้นทั้งสองคนมักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ

พี่ชายเป็นคนที่ฉลาด เก่งหลายๆอย่างจนทำให้มองว่าน้องชายเป็นตัวยุ่ง โดยเฉพาะครอบครัวนี้ พ่อแม่แยกทางกัน ลูกๆ จะมีเวลาอยู่กับพ่อและแม่ สัปดาห์ละ3-4วัน สลับกันไป แต่สัปดาห์นี้ถึงคิวที่จะต้องอยู่กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งบ้านของพ่อ เป็นบ้านเก่าที่เกิดจากการขายต่อ คิดว่าคงย้ายเข้ามาได้ไม่นานนัก และในบ้านนี้มีลิฟท์ส่งของอยู่ในบ้านด้วย ชั้นล่างสุดของบ้านจะเป็นห้องใต้ดิน และลิฟท์ตัวนี้ สามารถพาไปถึงที่นั่นได้

แต่ด้วยความที่เป็นเด็กที่ซนและอยากรู้อยากเห็น น้องชายคนเล็กชอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในลิฟท์เป็นประจำ วันหนึ่งตอนที่ทะเลาะกับพี่ชายของเขา เขาก็ใช้ลิฟท์ลงไปถึงชั้นล่าง และบังเอิญไปพบกับกล่องเกมส์ ที่ข้างกล่องเขียนไว้ว่า Zathura ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขานำเกมส์กล่องนี้มาเล่นกับพี่ชายของเขา

ลักษณะเกมส์จะคล้ายกับเกมส์งูไต่บันได แต่แทนที่จะเราจะเลื่อนตัวเดินได้เอง ในเกมส์ก็เลื่อนได้เองโดยอัตโนมัติ หลังจากที่ไขลาน และกดปุ่ม จากนั้น ก็จะมีการ์ดออกมาจากช่อง ผู้เล่นต้องอ่านการ์ด ซึ่งจะเหมือนกับคำทำนาย และในระหว่างที่เล่นเกมส์ก็มีแต่เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ไม่คาดฝันตั้งแต่เริ่มแรกที่เดินก็คือ อยู่ๆ บ้านของพวกเขา หลุดเข้าไปอยู่นอกโลกได้อย่างไรก็ไม่มีใครทราบได้ แต่พวกเขารู้ว่า สิ่งรอบตัวเขาคือดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล และเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นต่างๆนานา ไม่ได้ทำให้พวกเขารักกันมากขึ้นเลย มีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่จบไม่สิ้น

แต่ไม่ใช่ว่าในเกมส์มีแต่เรื่องที่ไม่ดี การ์ด ที่ดีคือการ์ดที่เป็นสีทอง( มีไม่กี่ใบ ) เช่นอธิษฐาน เมื่อเห็นดาวตก พอผู้ที่เป็นพี่ชายได้การ์ดทอง แล้วสิ่งที่อธิษฐานเป็นสิ่งที่เด็กๆคิด ตอนแรก คนดูน่าจะคิดว่า สิ่งที่เขาขอก็คือ น่าจะอยากให้น้องชายหายไปจากโลก เพราะ เขารู้สึกเกลียดน้องชายของเขาเหลือเกิน แต่เขาไม่ได้ขอในสิ่งที่ไม่ดีเช่นนั้น

ช่วงนั้น เป็นช่วงที่น้องชาย จับได้การ์ด อันที่บอกว่า ต้องช่วยมนุษย์อวกาศ เมื่อเป็นดังนั้น ก็มีมนุษย์อวกาศมาที่บ้านจริงๆ และสองพี่น้องนี้หารู้ไม่ว่า คนผู้นี้เป็นตัวของผู้พี่ในอนาคต เขาลอดผ่านช่องที่ข้ามมิติของกาลเวลาเข้ามา และแน่นอน เคยเล่นเกมส์นี้ เมื่ออดีต และเคยอธิษฐานให้ไม่มีน้องชายอยู่ในชีวิตของเขา แต่พอน้องชายหายไปจริงๆ เขาจึงรู้สึกผิด และอยากได้น้องชายกลับมา แต่ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เขาจึงได้ให้ข้อคิดเรื่องนี้ แก่สองพี่น้อง สองพี่น้อง (ซึ่งก็คือ ตัวเขาและน้องชายของเขาในอดีต)

เหตุการณ์ผ่านไป อย่างตื่นเต้นและทุลักทุเล จนกระทั่งเกมส์สิ้นสุดลง สิ่งที่ เด็กผู้ชายสองคนนี้ได้รับจากการเล่นเกมส์ Zathura ก็คือพี่น้อง ควรจะมีความรักและสามัคคีกัน

ดูหนังจบแล้ว ดิฉันอยากให้ พี่น้องคนไทย ไปดูหนังเรื่องนี้จริงๆเล้ย

ดูแล้วจะได้ไม่ตีกันยังไงล่ะคะ

Monday, March 20, 2006

..แม่สื่อ..


ขอพูดถึงความรักบ้างนะคะ

ความรักทำให้โลกสดใส ดูน่าอยู่ขึ้น (ถึงแม้ว่าตอนนี้บ้านเมืองของเรายังร้อนระอุอยู่ก็ตาม แต่ถ้าคุณมีความรักอยู่ในหัวใจ คุณจะรู้สึกว่าโลกนี้ยังน่าอยู่ อยู่มากเลยค่ะ ) การที่มีใครให้รัก และเขาคนนั้นก็รักเราด้วย ยิ่งทำให้หัวใจเราชุ่มชื่น และรู้สึกพองโตมากขึ้นด้วย เราสามารถยิ้มได้ถึง แม้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา จะกดดันให้เรายิ้มไม่ออกก็ตาม

เมื่อความรักทำให้หัวใจเราชุ่มชื่นขึ้น ความรักนี้ก็ทำให้ เรารู้สึกว่า เราอยากให้คนอื่นรู้สึกเหมือนเราบ้าง ดังนั้นบทบาท "แม่สื่อ" จึงเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา

ใครเห็นด้วยกับประโยคข้างต้น ยกมือขึ้น?

เล่าเลยดีกว่า คือว่า ดิฉันบังอาจทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักค่ะ ชักนำให้คนสองคนมารู้จักและรักกัน อันที่จริงแล้ว คิดว่า คงยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า "รัก" หรอกค่ะ จะรักหรือไม่ย่อมต้องอาศัยเวลา อย่างที่เคยบอกไว้กับหลายๆคนเสมอว่า ดิฉันไม่เชื่อกับคำว่า "Love at first sight" เพราะ ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้ คุณจะรักต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่กับใครสักคน และนั่น ก็หมายความว่า คุณไม่มีวันรู้รักคำว่ารักอย่างแท้จริง

คนสองคนมารู้จักกัน เริ่มแรกที่ได้พบ ได้คุย อาจจะรู้สึกว่า "ถูกใจ" แต่พอเวลาผ่านไป ความถูกใจที่เกิดขึ้นอาจจะพัฒนาไปสู่ความรัก หรือไม่รักก็สุดแล้วแต่คนสองคนนั้นต้องการจะให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองพัฒนาอย่างไรต่อไป

ฟังแล้วดูเหมือนจะดี ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใคร แต่ทว่า ฝ่ายหนึ่งยังมีคนที่ยังคบกันอยู่ แต่มักจะทะเลาะกันเป็นอาจิณ ตัวเธอเอง และคนรอบข้างที่สนิท มองว่า เกิดปัญหาขึ้นแล้ว นานวัน ปัญหานี้ก็ยังเกิด และดูแล้วก็เหมือนว่าจะบั่นทอนจิตใจมากขึ้นทุกวันๆ หลายครั้งที่ทั้งคู่เอ่ยปากบอกว่า เลิกคบกันแล้ว แต่พอฝ่ายหนึ่งมาง้อ อีกฝ่ายก็ใจอ่อนเสมอ และยอมยกโทษให้ แต่ปัญหาก็ยังเกิด ฝ่ายที่สร้างปัญหาก็ไม่ได้สำนึก และไม่ได้หาทางแก้ไข ให้มันดีขึ้น อ้อ!! ลืมบอกไปว่า คนนี้เป็นเพื่อนรุ่นน้องของดิฉันเอง

เพื่อนอีกคนยังไม่มีใคร เลิกคบกับคนรักมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ด้วยความหวังดี ดิฉันและคนใกล้ตัวของดิฉันจึงแนะนำ ให้เพื่อนคนนี้ รู้จักกับรุ่นน้องคนนี้ เมื่อทั้งสองเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกันแล้ว อุปสรรคคือฝ่ายหนึ่งยังคบกับคนรักที่ทะเลาะกันแทบทุกวัน เหมือนที่เล่ามาข้างต้น แต่กระนั้นก็ยังคบอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการคบจริงจัง ปัญหาก็คือ ทั้งสองคนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?

ดิฉันแนะนำให้ทั้งสองค่อยๆดูกันไปก่อน และให้ทำดีต่อกัน เรื่องที่ว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างไรต่อไปนั้น ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แน่นอน คงต้องมีการเลือกเกิดขึ้น ใครจะถูกเลือก จะใครจะไม่ถูกเลือก และแน่นอน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงต้องเจ็บ

ดิฉันฟังแล้วนึกสงสารแล้วก็เห็นใจ แต่ในฐานะ ทีเป็นคนนอก ก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนพวกเขาได้ อาจจะแนะได้บ้าง ในฐานะแม่สื่อ แต่การตัดสินใจ ก็ต้องยกหน้าที่ให้พวกเขาตัดสินกันเอง น่าเห็นใจเหมือนกันนะคะ แต่ชีวิตของเขา เขาต้องเลือกเอง

เพราะ ชีวิตของเรา เราก็เลือกเอง

หมายเหตุ : ขอมอบเพลง"น้ำเต็มแก้ว" ของ endorphine นี้ให้เพื่อนทั้งคู่ค่ะ



( ภาพ : Shore Steps โดย Hank Steve )





Saturday, March 18, 2006

..หนังสือ..



ดิฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ

ที่บอกว่าชอบอ่านหนังสือนี่คือชอบอ่านจริงๆ อันที่จริงคนเราสามารถเลือกอ่านตัวหนังสือได้จากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือที่มาจากหนังสือ ทั้งนิตยสาร หนังสือพิมพ์ นวนิยาย ตำราต่างๆ สมุดไดอารี หรือสมัยนี้ก็ต้องอ่านจากคอมพิวเตอร์

ท่านผู้อ่านชอบอ่านข้อความจากหนังสือที่เป็นกระดาษหรือว่าหนังสือออนไลน์มากกว่ากันคะ?

หลังจากที่เขียนข้อความลงบล็อคแล้ว แทบทุกครั้งดิฉันจะต้องพิมพ์ออกมาเพื่อเอาอ่านอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง ทุกครั้งมักจะมีข้อความที่เกิดจากการพิมพ์ผิดเสมอ ซึ่งเวลาอ่านจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เรามักมองไม่เห็นคำผิดเหล่านั้น ดิฉันจึงตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นเองว่า อาจเป็นเพราะอ่านแบบจับใจความ ไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงทุกๆตัวอักษร รีบพิมพ์ รีบโพสต์ ดังนั้น สิ่งที่ผิดพลาดจึงไม่ค่อยปรากฏอยู่ในสายตาสักเท่าไรนัก

แต่หลายครั้งที่อ่านข้อความที่คนอื่นเขียนออกมา แต่ตัวเองสามารถจับจุดที่ผิดของข้อความเหล่านั้นออกมาได้เสมอ ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจับผิด และเมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมนุษย์ไม่ค่อยเห็นความผิดของตัวเอง แต่มักเห็นความผิดของผู้อื่นก่อนเสมอ

กลับมาพูดถึงเรื่องการอ่านหนังสือดีกว่าค่ะ หลายคนมักจะบอกว่า ชอบอ่านหนังสือมากกว่า เพราะ ไม่เสียเวลาเหมือนอ่านข้อความในคอมพิวเตอร์ เนื่องจาก ขั้นตอนการเปิดคอมพิวเตอร์นั้นยุ่งยากกว่าการอ่านหนังสือปกติ จะพกพาไปไหนก็ไม่สะดวกเท่า และยังต้องเพ่งสายตาในการอ่านมากกว่าด้วย

เรามักจะอ้างว่า เราใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อหาข้อมูลต่างๆ แต่แท้ที่จริงๆแล้ว แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดคือห้องสมุดค่ะ อินเตอร์เน็ต ไม่สามารถใช้หาข้อมูลในเชิงลึกได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆเท่านั้น (หรือว่าดิฉันไม่ใช่ผู้ชำนาญการ) จากประสบการณ์แล้ว มันแสดงให้เห็นเช่นนั้นจริงๆ จริงอยู่อินเตอร์เน็ต มีประโยชน์หลายสถาน หลายครั้งที่เชื่อว่า เราไม่จำเป็นต้องไปห้องสมุดก็ได้ แล้วก็หลายครั้งเหมือนกันที่เรา ค้นหาสิ่งที่เราต้องการ ในอินเตอร์เน็ตไม่ได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วต้องพึ่งห้องสมุดจนได้

องค์กรที่ดิฉันทำงานอยู่ เคยคิดจะยกเลิกการใช้เอกสาร โดยการให้ อินทราเน็ตแทน แต่หลายปีผ่านไปแล้ว ก็ยังคงต้องใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน

หลายสิ่งหลายอย่าง มีประโยชน์ แต่ประโยชน์สูงสุดที่จะได้มาหรือไม่นั้น คนที่ใช้ต้องพิจารณาการใช้งานค่ะ ว่าจะใช้สิ่งไหน และใช้ควบคู่กันหรือไม่ หนังสือและคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน หากเราใช้ทั้งสองอย่างประกอบกัน ก็จะมีประโยชน์หลายสถาน

แล้วท่านผู้อ่านล่ะคะ ว่าอย่างไรกันบ้าง ส่วนตัวดิฉันเองถึงจะชอบทั้งสองอย่าง แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ดิฉันรักหนังสือมากกว่าค่ะ

เพราะดิฉันไม่อยากจะเป็น e-lady อิอิอิ

( ภาพ : Bookends โดย Hank Steve )



Thursday, March 16, 2006

..10,000 เยน..



ช่วงนี้ดิฉันเริ่มติดการดูทีวีช่อง x-cyte ของ UBC ค่ะ

เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ชอบดูทีวีเอาเสียเลย และเป็นคนที่อยู่ไม่ติดที่ด้วยค่ะ ชีพจรลงเท้า หาเรื่องไปโน่นมานี่อยู่เสมอ แต่ช่วงนี้อาจเป็นเพราะ แก่แล้ว อย่างที่เคยบอกค่ะ เลยขอพักผ่อน และนั่งอยู่หน้าจอทีวีดีกว่า

อันที่จริง รายการของ UBC ช่องนี้ก็มีที่น่าสนใจหลายรายการ แต่ไม่ได้ติดทุกรายการนะคะ เลือกดูเฉพาะของญี่ปุ่น ไม่ได้ไปตามกระแสหรอกค่ะ แต่ดูไปดูมาน่าสนใจดี น่าติดตาม อาจจะเนื่องมาจากวิธีการดำเนินรายการก็ได้ รายการที่บอกนั้น คือ โกโกริโกะ แล้วก็ยุทธการกะทะเหล็ก

รายการที่ดิฉันติดก็คือ "โกโกริโกะ" ค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะจำผิดหรือเปล่า ด้วยว่าดิฉันมีความสามารถอย่างหนึ่งก็คือ มักจะขี้ลืม หรืออาจเป็นเพราะ ไม่ได้ใส่ใจจำชื่อรายการก็ได้ เพราะคิดว่า ชื่อนั้นสำคัญไฉน (อิอิ แก้ตัวไปได้เรื่อยๆ)

รายการที่บอกนี้ การดำเนินรายการมักจะอยู่ในทำนองที่ว่า แข่งขันกันประหยัด เช่นใช้เงิน 10,000 เยนภายใน1เดือน เป็นต้น ลักษณะรายการจะมีหลากหลายค่ะ บางครั้งเอาผู้แข่งขันมาใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ตเมนต์ แข่งกัน 4คน ให้อยู่คนละห้อง แล้วดูว่า วันสุดท้ายแล้ว ใครจะมีเงินเหลือมากที่สุด

ดิฉันเห็นผู้แข่งขันแต่ละคนแล้วทึ่ง ในความประหยัดของพวกเขามาก เทคนิคบางอย่าง เราอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเลย เช่น การที่ปล่อยให้ตู้เย็นมีช่องว่างมาก อาจจะทำให้ความเย็นนั้นสูญเปล่าไป หรือไม่ก็ วิธีการถนอมผัก ทำให้เก็บไว้รับประทานได้นานๆ เคยเห็นไหมล่ะคะ เอาถุงพลาสติคสูญญากาศมาใส่ผัก จากนั้นก็เอาไปแช่น้ำร้อน ที่อยู่ในกล่องโฟมใบใหญ่ๆ ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำผักพวกนี้ ไปใส่ในตู้เย็น เป็นวิธีการต้มผักอย่างประหยัด และเก็บไว้ได้นาน (เพิ่งรู้นะนี่!!) หรือไม่ก็วิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด โดยเอาขวดน้ำขนาดใหญ่มาตัดก้นขวดทิ้งไป เอาน้ำใส่ลงไป เขียนปริมาตรข้างขวด แล้วกลับหัวลง นำน้ำจากขวดนั้นมาล้างหน้าได้..โดยให้หยดลงช้าๆ...โห!!สุดยอด ของความประหยัด

ยังมีอีกค่ะ มีอยู่ตอนหนึ่ง ผู้เข้าแข่งขัน เลือกที่จะใช้เตาไมโครเวฟ แทนการใช้แก๊ส เนื่องจากประหยัดกว่า ..โอ้ว!! ไม่ยักกะทราบมาก่อนเลยนะคะ

ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง เลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ใกล้ทะเล โดยการลงไปจับปลามารับประทานเองก็มี ไม่ต้องไปซื้อหามาจากตลาด อาวุธก็คือ ฉมวกเพียงอันเดียว ประหยัดสุดๆค่ะ แต่ก็อันตรายสุดๆเหมือนกัน เวลาทะเลมีคลื่นลมแรง

อีกตอนหนึ่ง ให้ผู้เข้าแข่งขันไปใช้ชีวิต อยู่บริเวณเกาะที่อยู่ตอนเหนือของประเทศ ซึ่ง อากาศช่วงนั้นหนาวเย็นมาก ช่วงปลายเดือน เงิน10,000 เยนที่ได้มาก็ร่อยหรอ จวนจะหมดแล้ว เข้าต้องบริหารเงินจำนวนนี้ให้ดี และให้เหลือใช้ให้ถึงวันที่ 30ของเดือน ดังนั้น ชายผู้นี้จึงตัดสินใจออกเรือไปหาปลา บางวัน ปลาไม่ติดเบ็ดเลย บางวันเจอพายุ พัดกระหน่ำ จนบ้านเกือบพัง โอ!! อุปสรรคสารพัด จนวันสุดท้าย คือวันที่30 เขาก็สามารถเอาชีวิตรอดกลับบ้านได้

สิ่งที่ชายผู้นี้ได้ จากการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ น้ำใจของชาวบ้าน และคุณค่าของอาหาร คุณค่าของข้าวแต่ละเม็ดแต่สิ่งที่ผู้ชมอย่างดิฉันได้ จากการชมรายการนี้ก็คือ ความอดทน ความไม่ย่อท้อ และสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติรวมทั้ง วิธีกินอยู่อย่างประหยัดของชาวญี่ปุ่นด้วยค่ะ

แล้วก็ทึ่งอย่างที่สุดด้วยว่า คนพวกนี้ ใช้เงิน10,000 เยน เป็นเวลาหนึ่งเดือนได้ยังไง

ท่านผู้อ่านล่ะคะ ทำได้รึเปล่า?

( ภาพ : Afternoon Chat โดย Kim Sung )

Wednesday, March 15, 2006

..แก่..



ใครไม่กลัวความแก่บ้างยกมือขึ้น?

ดิฉันคนหนึ่งที่เป็นคนกลัวแก่ แต่อย่างไรก็ตาม สังขารไม่เที่ยง ยังไงก็ก็หนีไม่พ้น สำหรับเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย พูดเหมือนชวนให้ปลงนะคะ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่อง ความแก่กันดีกว่า

บางคนทำอะไรสารพัดเพื่อชลอความแก่ จริงๆ ทำได้นะคะ เพียงคงสภาพ image ภายนอกของเราไว้ได้แค่นั้น สำหรับเรื่องของภายใน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกาย จิตใจ หรือเรื่องของสมองก็ตาม เราไม่สามารถหยุดความแก่ไว้ได้ค่ะ เพราะ สิ่งที่กล่าวมานี้คือสิ่งที่ตัดสินว่า เราแก่หรือไม่แก่

ดิฉันขอยกประเด็นเรื่องความจำดีกว่า เพราะเรื่องความจำก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถตัดสินได้ว่า เราแก่แล้วหรือไม่ ซึ่งพอหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา มันก็ทำให้ตัดสินได้ว่า ..ดิฉันแก่แล้วค่ะ คุณขา !!!

คุณเคยลืมอะไรอะไรรึเปล่าคะ สิ่งที่ไม่น่าลืมเลย สำหรับดิฉันเอง ลืมได้ประจำ

ปกติแล้ว เวลาทำงาน ต้องมาตรวจเช็คของและยา ที่มีอยู่ใน stock ก่อนที่จะเริ่มทำงาน ทุกแผนกที่มีคนไข้ในโรงพยาบาลจะมียาเสพติด (ใช้ระงับปวด) อยู่ในแผนกด้วย และที่เก็บยาจะต้องมีกุญแจล็อคตู้ยาเสมอ หน้าที่รับผิดชอบ ก็คือผู้ที่ถือกุญแจนี่แหละ และเวรต่อไปก็จะต้องมีการรับส่งมอบกุญแจกัน และดิฉันนี่แหละที่ เป็นพยาบาลคนเดียวที่มักลืมส่งมอบ และมักจะเอากุญแจกลับไปด้วยเสมอ และมานึกได้ก็คือกลับถึงที่พักแล้ว และก็จะโทรศัพท์มาสารภาพผิดประจำ ภายหลังจึงต้องแปะกระดาษโน้ตไว้เตือนตัวเอง ว่าห้ามลืม ยังค่ะ ยังไม่พอ แล้วก็ยังมีอีก คือชอบลืมโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชักที่ทำงานเป็นอาจิณ มานึกได้ก็ ตอนที่เข้านอนแล้ว จะใช้โทรศัพท์ปลุกในเวลารุ่งเช้า เฮ้อ!!

นี่ยังแค่เบาะๆค่ะ ยังมีเรื่องน่าเกลียดกว่านั้น คือว่า อ่า...แต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวไปทำงาน เดินออกไปแล้ว ลงบันไดไป 2-3ขั้น รู้สึกมันโล่งๆพิกล ปรากฏว่า เป็นไงทราบมั้ยคะ ลืมใส่เสื้อชั้นในข้างในน่ะสิ คุณพระคุณเจ้า ดิฉันหัวเราะในความเปิ่นของตัวเอง รีบเข้าไปหยิบเสื้อชั้นในมาใส่ ในทันใด (เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนที่ทำงานบอกว่า จะใส่หรือไม่ใส่ก็ไม่มีใครรู้ ดูมันสิ!!)

เรื่องเสื้อชั้นในนี่เหมือนกัน ไม่ใช่ครั้งแรก เคยมีอยู่หนหนึง สลึมสลือ กลับมาจากข้างนอก ของีบสักนิด ถอดเสื้อชั้นในอยู่ เพื่อคลายความอึดอัด งีบประมาณหนึ่งชั้วโมง ตอนนั้น อยู่ที่หอพักพยาบาล น้องสาวมาหา เรียกลงไปข้างล่าง ดิฉันรีบตื่น ลงลิฟต์มาเฉยเลย กว่าจะรู้ตัวก็ถึงชั้นหนึ่งแล้ว แต่ก็รีบกดลิฟต์ขึ้นไปที่ห้องตัวเองใหม่ โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีใครลงไปด้วย อิอิ

ดูสิความเป๋อ ของดิฉัน บ่อยครั้งที่ จะทำอะไรไว้ก็ตาม ดิฉันจะไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ และมักจะลืมไปว่า ทำอะไรค้างอยู่ กว่าจะนึกได้ก็อีกวัน โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เรื่องพวกนี้ พอเล่าให้คนใกล้ตัวของดิฉันฟัง ดิฉันถูกล้อค่ะ ว่า "เป๋อ"

แต่ท่านผู้อ่านเชื่อไหมคะว่า เวรกรรมมีจริง มีอยู่วันหนึ่ง คนใกล้ตัวของดิฉัน กำลังเดินไปสถานีรถไฟฟ้าเพื่อจะไปทำงาน ทราบมั้ยคะ ว่าลืมอะไร ...ลืมแว่นตาค่ะ เดินมาตั้งไกล แต่ก็ต้องกลับไปเอาแว่น ไม่งั้นทำงานไม่ได้

เป็นไงล่ะคะ เวรกรรมตามทัน ความแก่ มันก็ทันกันเห็นๆ อิอิอิ

Tuesday, March 14, 2006

..แดจังกึม (ตอนจบ)..


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาละครเกาหลี "แดจังกึม" ดำเนินมาถึงตอนจบ

คิดว่าหลายๆคนคงจดจ่ออยู่กับละครเรื่องนี้ บางคนไม่พลาดแม้แต่ตอนเดียวก็ยังมี เข้าขั้นติดมากใครที่ได้ดูคงจำตอนจบของเรื่องได้ มีอยู่ฉากหนึ่ง ตอนที่พระพันปี ให้แด จังกึมกับมิน จุงโฮ กลับเข้ามาในวังและ คืนตำแหน่งเดิมให้กับทั้งสองคน ฉากที่มีคนทั้งวังพากันมาต้อนรับ แปลกใจเหมือนกันที่เสนาขวา (คนที่เป็นเจ้านายคนเดิมของมิน จุงโฮ) ออกมาต้อนรับด้วยความยินดี และมาถึงอีกฉาก เสนาขวา เรียกมิน จุงโฮ มาคุย บอกให้ช่วยงานต่อ ตอนนั้นมีใครแปลกใจเหมือนกับดิฉันบ้าง?

ที่แน่ๆ ใต้เท้า มิน จุงโฮ คงแปลกใจเหมือนกัน ดูจากสีหน้า ตอนที่เสนาขวา บอกให้ช่วยงาน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่พวกเสนานี่แหละเป็นคนถวายฎีกาให้พระราชาเนรเทศเขาออกไปลำบาก คนเรานี่ใส่หน้ากากได้เนียนจริงๆเลยนะคะไม่ว่าจะเป็นสมัยใดก็ตาม สมัยโบราณหรือสมัยปัจจุบัน คนที่มีอำนาจมากมักจะมีคนเกรงใจ ยอมมาสยบอยู่ใต้อำนาจ แต่พอหมดอำนาจลง อย่างที่เราๆท่านๆเห็นกัน อยู่ค่ะ เป็นไงล่ะ พวกนี้ ความจริงใจไม่ค่อยมีให้กันหรอก อย่างที่มีคนเคยพูดว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร" เห็นง่ายๆ ก็การเมืองสมัยนี้ยังไงล่ะคะต่อเรื่องแด จังกึมค่ะ ..

เมื่อเป็นเช่นนั้น แด จังกึม กับมิน จุงโฮ ก็เลยตัดสินใจ บอกลาสังคมในวัง ไปใช้ชีวิตนอกวัง อย่างสงบแทน การที่ไม่อยู่ใต้อาณัติใคร การที่ได้ทำอะไรได้อย่างอิสระน่าจะมีความสุขกว่า การมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ต้องถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจมากกว่า ความจริงใจน่าจะมีมากกว่า ไม่ต้องแบกความหนักใจ และภาระที่หนักอึ้ง โดยเฉพาะ ภาระทางใจ เธอยังบอกไว้เลยว่า ในวังสามารถให้อะไรเธอได้ทุกอย่าง แต่ก็พร้อมจะทำลายทุกอย่างของเธอได้เหมือนกัน

ละครเกาหลีเรื่องนี้มีข้อที่ดิฉันสังเกตอีกข้อหนึ่งก็คือ ตอนที่แด จังกึม ออกเรือนไปแล้ว ทรงผมของเธอจะเปลี่ยนไป ทีแรกดิฉันคิดว่า ทรงผมที่เป็นผมเปียถักรอบๆศีรษะ เป็นทรงผมของผู้ที่แต่งงานแล้ว หรือไม่ก็แสดงให้เห็นความเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่พอตอนจบ ละครก็ทำให้ดิฉันแปลกใจอีก นั่นคือ ตอนที่ แด จังกึม ตัดสินใจออกจากวัง ทรงผมจะถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นทรงเดิมอีกครั้งคือรวบไปข้างหลังหมด เหมือนทรงผมสมัยที่เธอยังสาว ไม่เข้าใจว่าผู้เขียนบท ต้องการสื่อให้ผู้ชมได้ทราบถึงเรื่องอะไร ป่านนี้ดิฉันก็ยังคงสงสัยอยู่

ตอนจบของเรื่อง เชื่อไหมว่า ดิฉันร้องไห้ด้วยแหละ ตอนที่พระราชา มองแด จังกึมเป็นตอนสุดท้ายก่อนที่จะมีพระบัญชาให้ กรมมหาดเล็ก พาแด จังกึม ออกจากวัง ตอนสุดท้ายนี่ ผู้กำกับตั้งใจจะให้พระราชาเป็นตัวเด่นรึเปล่า ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่รู้ๆ พระเอกของเรา ไม่เด่นเลย ถูกบทของพระราชากลบไปหมดเลย ไม่งั้น ผู้ชมอย่างดิฉันจะร้องไห้ได้อย่างไร

เขียนไปเขียนมา ก็ยังจำทุกฉากของตอนจบได้เลยนะคะ

อย่างว่าแหละชมด้วยความประทับใจ

Monday, March 13, 2006

..ชมพูพันธุ์ทิพย์..





หลังจากที่หลายคนพูดถึงชมพูพันธุ์ทิพย์ หนึ่งในนั้นก็คือตัวดิฉันเอง

คงยังจำได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกเราจะเห็นดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานทั้งเมือง มองแล้วสดชื่น สบายตาสบายใจ บางคนเข้าใจผิดว่า ชมพูพันธุ์ทิพย์คือซากุระเมืองไทย แต่จริงๆ หาได้ใช่เช่นนั้นไม่ ชมพูพันธุ์ทิพย์ มีชื่อ ทางวิทยาศาสตร์ว่า Tebebuia rosea (Bertol.) DC.

ส่วนซากุระเมืองไทย นั้น คือต้นไม้ที่มีชื่อว่า "นางพญาเสือโคร่ง" หรือชมพูภูพิงค์ ต่างหาก ต้นไม้ชนิดมีชื่อทาง วิทยาศาสตร์ว่า Prunus cerasoides


ต้นนางพญาเสือโคร่ง จะมีดอกสีชมพูบานเต็มต้น กลีบดอกจะคล้ายคลึงกับดอกซากุระมาก ต้นไม้ชนิดนี้จะมีอยู่ตามภูเขาทางภาคเหนือของบ้านเราค่ะ ที่เห็นเยอะๆ ก็ที่ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย แต่ต้องไปดูช่วงเดือนกุมภาพันธ์นะคะ ช่วงนั้น ซากุระ (เมืองไทย) จะบานเต็มดอย สวยงามมากๆ

เอาล่ะค่ะ นอกเรื่องมาเยอะแล้ว มาพูดถึงชมพูพันธุ์ทิพย์กันดีกว่า แต่เสียดายที่บานได้เพียงไม่นาน หลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ดอกก็ร่วงกราว หายไปจากต้นจนหมด

กระนั้น ดิฉันยังมีพอความหวังอยู่บ้าง คิดว่าคงยังพอมีชมพูพันธุ์ทิพย์บางต้นหลงเหลือดอกให้ดิฉันได้ยลอยู่บ้าง เมื่อคิดดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะไปที่สวนรถไฟเหมือนอย่างเคย เพราะ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่นั่นมีอยู่ทั่วสวน

พอไปถึงสวนรถไฟ ไม่ผิดหวังเพราะ ยังพอมีสีชมพูของชมพูพันธุ์ทิพย์หลงเหลืออยู่ให้เห็น สามสี่ต้น เราไปนั่งบนเนิน ที่อยู่ใกล้บึงเล็กๆในสวนค่ะ ใกล้บึงมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์อยู่ต้นนึง บานเต็มต้น แต่คงรอเวลาที่จะร่วงหล่น เหมือนกัน โชคดีที่เรายังมีโอกาสได้เห็นความงามอยู่

มีเรื่องขัดตาขัดใจ อยู่ก่อนที่จะมานั่งชมความงามของต้นไม้ใบหญ้า ด้วยความที่พวกเราชอบเดินมาตามทางที่เป็นร่มเงาของต้นไม้ เราเดินไปเรื่อยๆ เห็นสีชมพูของกลีบดอกไม้ ร่วงกราวลงบนพื้น มองไกลๆ เหมือนพรมดอกไม้ยังไงยังงั้น แต่มองใกล้ๆ มันเป็นดอกไม้จริงๆค่ะ แต่เป็นกลีบดอกไม้พลาสติกที่มีคนจัดฉากขึ้นมา ชมพูพันธุ์ทิพย์จอมปลอมนั่นเอง

เดินไปก็คับข้องใจ สงสัยว่า ใครเป็นผู้ที่จัดฉากนี้ขึ้นมา จะเป็นเจ้าหน้าที่ของสวนรถไฟรึเปล่า หรือไม่เช่นนั้นก็น่าจะเป็นคนที่มาจัดฉากถ่ายรูป ต้องการให้รูปออกมาสวยที่สุด เลยจัดฉากที่มีกลีบดอกไม้ ร่วงกราวลงบนพื้น เห็นแล้วอนาถใจชะมัด

คิดดูสิคะว่ากลีบดอกไม้พลาสติก นั้นมันไม่สามารถย่อยสลายได้ ผลเสียก็เกิดขึ้นกับต้นไม้เอง นานๆไปของพวกนี้ก็จะกลายเป็นขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่โปรยสิ่งเหล่านี้ จะเพื่ออะไรก็ตาม ทำไมไม่เก็บทิ้ง ก่อนที่ตัวคนเหล่านั้นจะจากสวนนี้ไป ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เป็นขยะของสวน ไม่เข้าใจว่า คนพวกนี้ ทำไมถึงไม่รักธรรมชาติ คิดแต่จะ get หลายสิ่งจากธรรมชาติ ไม่ give แล้วยังทำลายธรรมชาติอีก เฮ้อ!!

เมื่อวานนี้ คนที่ไปเยือนสวนมีจำนวนมากพอสมควร แต่พอถึงเวลากลับแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือขยะเต็มสวน ถุงพลาสติค หรือเศษกระดาษทั้งหลาย เห็นอยู่ทั่วไปในบริเวณสวน เห็นแล้วสะท้อนใจ พูดไปก็สองไพเบี้ย จริงๆ อยู่ที่จิตสำนึกของผู้กระทำต่างหาก ยิ่งสวนนี้คนที่ไปเยือนสวนส่วนใหญ่ไปในลักษณะเป็นครอบครัว ดังนั้น คนที่จะปลูกฝังให้ลูกๆได้ก็คือ คนที่เป็นพ่อ แม่อีกนั่นแหละ

ไปๆมาๆ ก็ไม่พ้นเรื่องของครอบครัวอีกจนได้ เริ่มเรื่องของชมพูพันธุ์ทิพย์แท้ๆเชียว

รอมาตั้งนาน กว่าจะถึงวันที่บาน แต่พอบานก็บานอยู่ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์

นี่แหละหนา "ชมพูพันธุ์ทิพย์"


หมายเหตุ : ภาพที่เห็นไม่ใช่ ชมพูพันธุ์ทิพย์นะคะ (คนวาดภาพชื่อ Chiu ค่ะ )

Saturday, March 11, 2006

..เด็กเอ๊ยเด็ก..



เมื่อสองสามปีก่อนทางโรงพยาบาลเสนอโฆษณาออกมาชิ้นหนึ่ง

คงยังพอมีคนจำได้บ้าง ที่มีเด็กคนหนึ่งถือแอปเปิ้ลมาให้พยาบาลปอก น่ารักนะคะ ดูอบอุ่นดี

ที่พูดถึงโฆษณาชิ้นนี้เพราะว่าดิฉันเจอเองกับตัว พอดีเข้าไปแจกยามื้อกลางวัน เข้าไปเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังถือมีดปอกมะปราง (เด็กคนนี้เป็นลูกชายคนโตของคนไข้ที่มาคลอดค่ะ) พอดีตอนนั้น ในห้องนี้ผู้ใหญ่ในห้องนอนหลับกันหมด ...ได้เวลานอนกลางวันมั้งคะ เด็กคนนี้อยากทานผลไม้ ท่าทางเคยเห็นผู้ใหญ่ปอก เลยปอกเองซะเลย ฉะนั้น ไม่ควรวางของมีคมให้เด็กเอื้อมถึง อันตรายจริงๆ !!

เด็กอายุ ประมาณ 4 ขวบ ถือมีดปอกผลไม้ ดิฉันเลยถามก่อนว่า อยากทานรึเปล่า ไม่กลัวมีดบาดเหรอ มีดบาดเลือดออก น่ากลัวนะ เด็กคนนี้ก็พูดแบบบ่นๆว่า มีดบาดแล้วเลือดไหล แล้วก็นิ้วขาด ..แต่อยากทาน กลัวเปลือกติดคอ แล้วอ้วก เลยต้องปอก ดูสิเด็กเอ๊ย เด็ก..ดิฉันเลยเข้าไปห้องนั้นซะนานเลย เพราะมัวแต่ไปปอกผลไม้ ให้เด็กคนนั้น เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

ยังมีอีกค่ะ อีกห้องหนึ่ง คลอดลูกเหมือนกัน แต่ลูกคนโตเป็นเด็กผู้หญิง กำลังเล่นทำกับข้าว กับคุณพ่อของเธอ เดี๋ยวนี้ ของเล่นที่เป็นอุปกรณ์ทำอาหารเหมือนจริงมากนะคะ น่ารักด้วย ดิฉันก็ปิดม่าน แล้วให้ nursing care คนไข้อยู่ พลอยได้ยิน บทสนทนาที่คุณพ่อกับคุณลุกคุยกัน

คุณพ่อ : ไหนทำข้าวไข่เจียวให้ พ่อกินหน่อยสิลูก เอ้า!! ไหนเปิดแก๊สรึยัง ?"

คุณลูก: ลำบากน้อ

โห!! ตกใจหมดเลย ..นี่คือคำพูดจากปากของเด็ก สองขวบครึ่งเองนะคะ ท่านผู้อ่าน ไม่น่าเชื่อว่า เด็กในวัยนี้จะรู้จักคำว่า "ลำบาก" แล้ว ดิฉัน เลยถามคุณแม่ของเด็กค่ะ ว่าลูกสาวกี่ขวบแล้ว เด็กนี่ฉลาดจริงๆ คุณแม่บอกว่า เธอเริ่มหัดพูดตั้งแต่ อายุได้เพียง 9เดือน ทึ่งค่ะ ทึ่ง

อีกราย คือลูกชายเพื่อนของดิฉันเอง รายนี้ จะอยู่กับคุณพ่อที่ต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่เพราะ คุณแม่จะใช้ชีวิต อยู่แต่ในโรงพยาบาล ทำงาน อยู่เวรเหมือนกับดิฉันนี่แหละ (เธอทำตัวเหมือนคนโสดเลยนะคะ มีแต่คนบอกว่า เพื่อนคนนี้เธอสบาย ไม่ต้องเลี้ยงลูกเอง มีพ่อ กับปู่ย่า ตายายเลี้ยงให้ ) ลูกชายคนนี้อายุประมาณ 4ขวบค่ะ

เข้าโรงเรียนแล้ว อาจจะเป็นชั้นอนุบาล วันหนึ่งคุณครูเอาเรื่องม้าน้ำมาเล่าให้ฟัง ปกติแล้วม้าน้ำตัวผู้จะเป็นผู้เลี้ยงลูกเนื่องจากมีถุงหน้าท้อง ส่วนตัวเมีย ทำหน้าที่ตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาเฉยๆ พอเด็กตัวน้อยคนนี้ได้ฟัง ก็เอามาเล่าให้ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ฟัง บอกว่าไงทราบมั้ยคะ... เจ้าตัวเล็กบอกว่า "งั้นแม่ก็เหมือนม้าน้ำน่ะสิ"


เป็นไงคะ ผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆ อึ้งไปเลยล่ะสิ ฉลาดนะคะ เด็กสมัยนี้

อย่างไรก็ดี เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า

อนาคตของพวกเขาอยู่ในมือของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะคะ

Thursday, March 09, 2006

..ไก่เขี่ย..

พักนี้เขียนตัวหนังสือ ดูแล้วเกือบไม่ใช่ภาษาคนแล้ว

ใครมีความรู้สึกเหมือนกับดิฉันบ้างว่า นับวันตัวหนังสือของตัวเอง ยิ่งเขียนก็ยิ่งหวัด ทั้งๆที่เมื่อก่อนยังไม่ถึงขนาดนี้ ตอนเป็นเด็กจำได้ว่า เคยประกวดคัดลายมือ ได้รางวัลมาด้วยซ้ำ แต่ไหง พอแก่ตัวลง ตัวหนังสือยิ่งอ่านไม่ออกขึ้นทุกวี่ทุกวัน

จำได้ว่า ตอนเป็นเด็ก เห็นตัวหนังสือของผู้ใหญ่ (ในสมัยนั้น) ตัวหนังสือสวย เขียนบรรจง ดูเป็นไทยดี แต่พอถึงรุ่นตัวเอง มักจะถูกปลูกฝังให้เขียนลายมือแบบคนรุ่นใหม่ ยิ่งอักษรไทย ยิ่งเน้นให้เขียนหัวกลม ต่างกับสมัยก่อนนู้นที่ มักจะเขียนหัวบัว (ใครเขียนหัวบัวในสมัยนี้อาจจะถูกล้อได้ ว่าโบราณ อิอิ )

จริงๆ ถ้าเขียนบรรจง ลายมือก็เหมือนคนรุ่นใหม่นะคะ (ทั้งๆที่เป็นคนรุ่นเก่า) แต่อาจจะเป็นเพราะใจร้อน ใจไปก่อน มือเลยไปเร็วด้วย ดังนั้นลายมือเลยยิ่งหวัดไปกันใหญ่

เป็นไปได้ไหมว่า เทคโนโลยีที่เข้ามาในสังคมเรา โดยเฉพาะ การใช้คอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย ทำให้ลายมือของคนเรายิ่งแย่ลงเรื่อยๆ การเขียนกับการพิมพ์ เป็นกรรมวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ค่ะเห็นด้วยไหมคะ? และโดยเฉพาะใน สังคมที่เร่งรีบ ทำให้เราไม่บรรจงประดิษฐ์อะไร รวมทั้งลายมือของเราด้วย

เห็นหลายคนบอกว่า ลายมือของเด็กสมัยใหม่ก็เช่นกัน นี่พูดถึงเด็กจริงๆนะคะ ลายมือไม่เหมือนคนสมัยก่อนเลย อาจเป็นเพราะ เหตุผลที่ดิฉันคาดเดาก็ได้

เชื่อไหมคะ ว่าลายมือคนรุ่นเก่า ดังเช่นป่าป๊าของดิฉัน ลายมือยังสวยอยู่ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังสวยอยู่ แม้ว่า จะเป็นลายมือแบบหวัด หรือบรรจงก็ตาม เทียบกับคนรุ่นใหม่เนี่ย คนละเรื่องเลยทีเดียว

ตัวดิฉันเองก็เถอะ อย่างที่บอกค่ะว่าลายมือ นับวันยิ่งแย่ เวลากรอกข้อความใดๆก็ตาม บางทีวงเล็บไว้ว่า ให้เขียนด้วยตัวบรรจง แต่ลายมือบรรจงกับลายมือที่เขียนหวัดก็ดูไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก

หลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ลายมือของพวกเรา เปี๊ยนไป๋!!

เวลาเปลี่ยน อะไรหลายอย่างก็เปลี่ยน

ขึ้นอยู่กับว่า จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..หรือเลวลง

Wednesday, March 08, 2006

..The Story..



ดิฉันรักการเขียน

เชื่อว่าหลายคนที่รักการเขียนนั้นต้องการให้ผู้อ่าน ทราบถึงวัตถุประสงค์ที่ตัวเองต้องการสื่อ ให้ผู้อ่านได้ทราบ

เชื่อว่าผู้เขียนย่อมต้องการให้มีคนอ่านผลงานของตัวเอง และแน่นอน สิ่งที่ต้องการอีกข้อหนึ่งก็คือ การตอบรับและการวิจารณ์จากผู้อ่าน

เคยนั่งเถียงกับคนใกล้ตัวเรื่อง การอ่านและการเขียน คนใกล้ตัวบอกกับดิฉันว่าในเมื่อเรารักการเขียน เราก็ควรจะเขียนไป และไม่ควรจะ ใส่ใจในเรื่องที่จะมีผู้อ่านหรือไม่ แต่ดิฉันหาได้คิดเช่นนั้นไม่ การที่เราเขียนเรื่องราวที่เสนอต่อสาธารณชน ย่อมต้องการการวิจารณ์เนื้อหาที่ ตัวเองสื่อออกมา มิฉะนั้นคงไม่มานั่งเขียน

ออนไลน์ ในลักษณะอย่างนี้เป็นแน่ และคงเลือกที่จะบันทึกที่เป็นบันทึกส่วนตัวและเก็บเอาไว้อ่านเองมากกว่า

กำลังใจจากผู้อ่านย่อมสำคัญต่อผู้เขียนอย่างแน่นอน

ตามร้านหนังสือ มีหนังสือหลากหลายให้เลือกอ่าน บางเล่มพิมพ์ไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่บางเล่มพิมพ์เพียงครั้งเดียวก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์อีกเลยก็มี ฉันใดก็ฉันนั้น การเขียนออนไลน์ก็เช่นกัน ความรู้สึกของผู้เขียน ก็เป็นเช่นนั้น กำลังใจคือการได้รับการตอบรับจากผู้อ่าน

การที่มีผู้อ่านมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสำนักพิมพ์หรือไม่ การเขียนออนไลน์ ขึ้นอยู่กับเว็บไหนทีมีผู้อ่านมาก หรืออ่านน้อยหรือไม่ เว็บไหนที่คนอ่านมาก งานเขียนก็จะได้รับความสนใจมากตามไปด้วย แต่เว็บไหนที่คนอ่านน้อย งานเขียนก็จะไม่ได้รับการเสพไปด้วย เหมือนเงาตามตัว

มีคนบอกว่า นับจากจำนวนครั้งของการได้รับการตีพิมพ์ ไม่ใช่เครื่องการันตีว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่เขียนดี

แต่ก็ยังสงสัยว่า ดีหรือไม่ดี นั้นเอาอะไรมาวัด จริงๆ มันก็เป็นความรู้สึกของผู้อ่านล้วนๆ ความชอบของแต่ละคน มักจะไม่เหมือนกัน

ความคิดที่ว่า Beauty is in the eyes of the beholder ก็ยังคงเป็นอมตะเสมอ

Tuesday, March 07, 2006

..เยี่ยมไข้..

เคยไปเยี่ยมคนป่วยตามโรงพยาบาลกันไหมคะ?

คิดว่าคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ “เคย” แน่นอน

การไปเยี่ยมคนป่วยในโรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชน มักจะแตกต่างกัน จากประสบการณ์ที่ไปเยี่ยมคนไข้ ตามโรงพยาบาลของรัฐ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับเอกชน ตรงที่ เวลาเยี่ยมไข้ ของรัฐจะจัดให้เยี่ยมเป็นเวลา คล้ายๆกับการเยี่ยมผู้ป่วยตามหอผู้ป่วยวิกฤติ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ ไอ ซี ยู นั่นเอง

สำหรับโรงพยาบาลเอกชนนั้น ไม่ค่อยจำกัดเวลาเยี่ยมเท่าไรนัก อันที่จริง ตามกฎระเบียบของโรงพยาบาลก็กำหนดเอาไว้เหมือนกัน แต่เท่าที่เห็น ไม่ค่อยมีใครเคร่งครัดกับระเบียบข้อนี้เท่าไรนัก เคยเห็นญาติคนไข้บางคน ก็เข้ามาเยี่ยมตอนตีสองตีสามก็ยังมี แปลกดีเหมือนกัน ยังสงสัยว่า ไม่หลับไม่นอนกันหรือยังไง

ญาติคนไข้บางคน ถามว่า เวลาเยี่ยมไข้ กี่โมงถึงกี่โมง ดิฉันมักจะตอบไปว่า ตามระเบียบแล้ว เยี่ยมได้ถึง สี่ทุ่ม แต่ไม่ค่อย strict เท่าไรนัก อย่างไรก็ดี อยากให้คนไข้ได้พักผ่อนบ้าง เมื่อนั่นแหละ คนถามเลยถึงบางอ้อ ว่าควรจะมาเยี่ยมเวลาไหน

คนไข้ที่ดิฉันดูแล เป็นคนไข้ทางสูตินรีเวช ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด ถ้าทางสูติ ก็จะมาคลอดลูก สมัยนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการผ่าตัดคลอดบุตร แล้วแต่คนไข้กับคุณหมอจะตกลงกันว่า ควรจะผ่าตัดหรือไม่ และมีข้อบ่งชี้ไนการผ่าตัดรึเปล่า บางคนไม่มีข้อบ่งชี้ แต่อยากผ่า อยากให้ลูกเกิดมาตามฤกษ์ที่หมอดูให้ไว้ก็มี เฮ้อ!!

ส่วนคนไข้ทางนรีเวช ที่บอกว่า รักษาโดยการผ่าตัด อาจจะมาผ่าตัดเนื้องอกออก ผ่าตัดถุงน้ำ หรือไม่ก็ผ่าตัดมดลูกออกเลยก็มี แหละอื่นๆอีกมากมายขึ้นอยู่กับว่าป่วยด้วยโรคอะไร

สมัยก่อน ถ้าพูดถึงเรื่องผ่าตัด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก จริงๆคนสมัยใหม่ก็ยังกลัวการผ่าตัดอยู่ แต่ดิฉันเห็นเป็นเรื่องธรรมดา อาจเป็นเพราะว่า ต้องดูแลคนไข้ประเภทนี้แทบทุกวัน เลยไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัด ต้องได้รับยาระงับความรู้สึกอยู่แล้ว อาจจะเป็น การดมยาสลบ หรือการระงับความรู้สึกทางประสาทไขสันหลัง แล้วแต่ความชำนาญของวิสัญญีแพทย์ โรคที่คนไข้เป็น และสภาพร่างกายของคนไข้เอง และปัจจัยเสริมอีกหลายอย่าง ทั้งนี้จะอยู่ในวิจารณญาณของวิสัญญีแพทย์

คนไข้หลังผ่าตัด24ชั่วโมงแรกย่อมต้องการการพักผ่อน ทั้งนี้ มีผลมาจากการได้รับยาระงับความรู้สึกด้วย ซึ่งยาพวกนี้ อาจจะมีผลข้างเคียงสำหรับคนไข้บางราย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ้าระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง ยาพวกนี้ มักจะมีผลทำให้คนไข้ ไม่ปวด แต่ผลที่ไม่พึงประสงค์ก็คือ คันตามตัว หรือคลื่นไส้อาเจียน (ในคนไข้บางรายเท่านั้น) แต่อาการเหล่านี้ จะหายไปหลังจาก 24ชั่วโมงแล้ว ดังนั้น ถ้าคนไข้ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ อาการพวกนี้ จะเป็นไม่มากนัก

คนไข้บางรายมีญาติมะรุมมะตุ้ม ถามโน่นถามนี่ ด้วยความเป็นห่วง แต่หารู้ไม่ว่า ความเป็นห่วงที่แสดงออก กลับทำให้คนไข้ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการเหล่านี้ก็จะกำเริบขึ้นมาอีกได้

อ้อ!! ลืมบอกไปค่ะ ว่า ส่วนใหญ่แล้วคนไข้ที่ผ่าตัดโดยการเปิดหน้าท้อง(ทางนรีเวช) จะต้องงดน้ำ และอาหาร เป็นเวลาประมาณ 24ชั่วโมง

ที่บอกไปทั้งหมด ในการเยี่ยมไข้ ในฐานะที่เป็นพยาบาล ดิฉันขอแนะนำให้ มาเยี่ยม มาพูดคุย หลังผ่าตัด 24ชั่วโมงไปแล้ว น่าจะดีกว่า ตอนนั้นแหละ คนไข้จะพูดคุยได้ ดีขึ้น และ คุณหมอก็อนุญาตให้เริ่มรับประทานอาหารได้ แต่อาหาร ช่วงแรกๆ อาจจะเริ่มด้วย พวกน้ำๆ ก่อนนะคะ อาหารแข็ง เอาไว้วันหลังๆ ดีกว่าค่ะ

แล้วประสบการณ์การเยี่ยมไข้ของคุณผู้อ่าน เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย?

Monday, March 06, 2006

..Nice Scene..



หลายวันมานี้ไปทางไหนก็เห็นชมพูพันธุ์ทิพย์บานเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

ตื่นขึ้นมาเห็นภาพเหล่านี้ดูสดชื่นดีจริงๆ ไปทางไหนก็มีแต่สีชมพูเต็มไปหมด ฉะนั้น อดที่จะนึกถึงสวนรถไฟไม่ได้ ดังนั้น ไม่ไปไม่ได้แล้ว วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงได้ตัดสินใจไปสถานที่ดังกล่าวอีกครั้ง

ก่อนที่มาถึงบริเวณสวนจริงๆ เห็นต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่มีดอกสีชมพูเต็มต้นแต่ไกล แค่นี้ก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจมากทีเดียว ถึงแม้อากาศช่วงเย็นจะยังมีไอร้อนระอุมาปะทะผิวกายและใบหน้า แต่ร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ทำให้ไอร้อนเหล่านั้นคลายลงไปได้บ้าง

รอบๆ ตัวมีผู้คนมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่จะเห็นแต่พ่อแม่พาลูกตัวเล็กๆ มาเดินเล่น หรอไม่ก็พามาขี่จักรยานเล่น ภายในบริเวณสวน บางคนก็สอนลูกเล่นว่าว ลมร้อนแบบนี้เหมาะนักสำหรับการเล่นแบบนี้

ว่าวบางตัว ติดลมบนอยู่สูงมากๆ พวกเรามองไปตามสายป่าน บางครั้งก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า เป็นของว่าวตัวไหน อันที่จริง คุณพ่อคงจะสอนคุณลูกเล่นว่าว แต่ไปๆมาๆ กลายเป็นคุณพ่อนั่นแหละที่ต้องเล่นซะเอง เพราะคุณลูกดึงสายป่านไม่ไหว พอว่าวไปติดลมบน แรงลมมักจะแรงกว่า แรงของเด็กที่จะดึงสายป่าน ต้องอาศัยแรงของผู้เป็นพ่อนั่นแหละ

ว่าวหลายตัว บนท้องฟ้าที่ปราศจากก้อนเมฆมาบัง สีแดง สีเหลือง สีม่วงของว่าว ตัดกับสีของฟ้าซึ่งเป็นสีน้ำเงินสวย

ริมบึงมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ กลีบดอก ค่อยๆร่วงลงใปในบึงตามกระแสลมที่พัดมาอ่อนๆและ ตามอายุขัยของดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ อยากหยุดเวลาตรงนั้นไว้เสียเหลือเกิน เวลาที่กำลังนั่งจ้องมอง ดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นไปในน้ำ มองได้สองมุม มุมหนึ่งคือความโรแมนติคของภาพที่เห็น อีกมุมหนึ่งก็คือ ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน

ขากลับก่อนที่จะเดินผ่านพ้นประตูทางออกของสวน เห็นพ่อลูกใส่รองเท้าสเก็ตเดินผ่านเราไป (น่าจะใช้คำว่า skating ดีกว่าเนาะ) หายากนะคะ ลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยรุ่นสองคน เล่นสเก็ตกับคุณพ่อ ใช่ค่ะ สามคนที่ดิฉันเห็น ไม่ใช่คนไทยแน่นอน คุณพ่อเป็นชาวต่างชาติ แต่ลูกสาว สังเกตจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นลูกครึ่ง ภาพเหล่านี้ดิฉันไม่ค่อยได้เห็นนักสำหรับ คนไทย ยิ่งเป็นลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วย


วัยรุ่นไทยมักจะใช้เวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้ากับบรรดาเพื่อนๆ เป็นส่วนใหญ่ หายากที่จะไปไหนมาไหนกับพ่อแม่

วันนี้ทำงานเป็นปกติ แต่ก็มีภาพที่น่าประทับใจให้เห็นหลายภาพ หนึ่งในนั้น ก็คือลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคนที่มาเฝ้าคุณแม่ ที่มานอนผ่าตัด ลูกชายกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นสองคน เวลาดิฉันเข้าไปแนะนำ หรือไปดูแลคุณแม่ของพวกเขา พวกเขาจะกล่าวขอบคุณและยกมือไหว้ ซึ่งนั่นบ่งบอกถึงเรื่องมารยาทที่ถูกขัดเกลามาอย่างดี ต่างกับหลายๆวันที่ดิฉันมักจะเห็นเด็กในวัยนี้นั่งเล่นแต่เกมออนไลน์ และส่งเสียงโหวกเหวกหยาบคาย


อีกภาพที่เห็นในระหว่างทำงานก็คือ ลูกสาวในวันยี่สิบต้นๆ นั่งดูแลแม่ที่ป่วย และให้กำลังใจแม่ ในขณะที่ดิฉันเข้าไปให้เลือด คุณแม่ของเธอ ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่น่าชื่นชมยิ่งนัก

เมื่อหลายวันที่ผ่านมา แม้จะเหนื่อยใจและเครียดกับความวุ่นวายในบ้านเมืองของเรา จนมีอยู่วันหนึ่งต้งอโทรศัพท์ไประบายให้ป่าป๊าฟัง จนวันนี้ ป่าป๊าโทรมาถามด้วยความเป็นห่วงว่าลูกสาวหายเครียดรึยัง ส่วนผู้เป็นลูกสาว (คือตัวดิฉันเองนั่นแหละ) กลับงงเสียเองว่า ตัวเองเครียดอะไร กว่าจะถึงบางอ้อ..กลายเป็นว่า เครียดเรื่องการบ้านการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นเอง

พอเห็นภาพเหล่านี้ผ่านเข้ามา แปลกดีที่ความเหน็ดเหนื่อยและความเครียด ที่มีอยู่ในใจค่อยๆมลายหลายไป

เป็นปลิดทิ้ง

Saturday, March 04, 2006

..คุ้มมั้ยนี่?..

ช่วงนี้ที่ทำงานกำลังตื่นเต้นเรื่องOD กันใหญ่

OD สำหรับองค์กรของเรา มาจากคำเต็มๆว่า Organization Development ฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี เอาง่ายๆ แล้วกัน มันก็คือ การสัมมนา และเข้าค่ายนั่นเอง

ห่างหายจากกิจกรรมพวกนี้มาประมาณ2ปีเห็นจะได้ อันที่จริงไม่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีหรอกค่ะ แต่คงไม่ได้จัดตามอารมณ์ ของคนจัดหรอก (มั้งคะ) ตั้งแต่ทำงานให้กับองค์กรนี้มาเกือบ13 ปี มีการจัดกิจกรรมทำนองนี้ 2ครั้งเห็นจะได้ ใช้งบประมาณเยอะแน่นอน เพราะ พนักงานในของเรามีเป็นพันๆ ดังนั้น ต้องจัดออกเป็นรุ่น และหลายรุ่นซะด้วยสิ

สอง สามปีที่แล้ว โชคดีหน่อย ถึงแม้ว่ากิจกรรมจะสมบุกสมบัน แต่ก็ได้พักรีสอร์ท และโชคดีอีกอย่างที่ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว และเมื่อประมาณเกือบ10ปีที่แล้ว การสัมมนาแบบนี้ก็จัดขึ้นที่โรงแรม ที่อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก workshop จะอยู่ในห้องประชุมของโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ และที่พัก แน่นอนก็ต้องเป็นห้องของโรงแรมนั่นเอง

ปีนี้ จัดออกค่าย ประมาณ16รุ่น ไม่แน่ใจว่า รุ่นละกี่คนเหมือนกัน แต่กิจกรรมนั้นคงหฤโหด กว่าสองครั้งที่ผ่านมาแน่ๆ แค่ได้ยินชื่อสถานที่ฝึก ดิฉันก็ขนแขนสแตนด์อัพแล้วล่ะค่ะ ก็ไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้ยังไงล่ะคะ มันเป็นค่ายทหารค่ะคุณขา โอ!!แม่เจ้า HR บอกให้พนักงานอย่างดิฉันเตรียมอะไรไปบ้างทราบมั้ยคะ ขันน้ำ แล้วก็ผ้าถุง !!

จำได้ว่า สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้น (นั่นมันก็ 20 ปีมาแล้วนี่) เคยไปเข้าค่าย กางเต้นท์ ก่อกองไฟ แล้วก็ต้องทำอาหารรับประทานกันเอง ที่ไม่ลืมก็คือการอาบน้ำรวมกันแบบนี้นี่แหละ นุ่งผ้าถุง แล้วใช้ขันน้ำตักอาบ แค่คิดก็ไม่อยากจะไปแล้วล่ะค่ะ (ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เชื่อมั้ยว่า ออกค่ายอาสายังไม่เคยเลย) แดดเปรี้ยงๆช่วงเมษายนที่ดิฉันต้องไป ทำกิจกรรมกลางแดดจ้าอย่างนั้น บางทีสมองซีกหนึ่งก็บอกดิฉันว่า ลองไปนอนชักแหง่กๆกลางแดดดีมั้ย?

สาเหตุที่ HR จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาก็เพื่อปรับ attitute ของบรรดาพนักงานในองค์กร โดยอาศัยทฤษฎีอะไรหลายหลากตามที่ได้ศึกษามามั้งคะ แต่ดิฉันว่า แทนที่ attituteจะดีขึ้นกลับแย่ลงมากกว่า น่าจะคำนึงถึงลักษณะขององค์กรและข้อจำกัดของพนักงานในองค์กรด้วย (พนักงานหญิงเป็นส่วนใหญ่) อากาศร้อนๆ แล้วต้องกลับมารักษาตัวอีก

จะคุ้มกันมั้ยนี่?

Wednesday, March 01, 2006

..เริ่มที่ครอบครัว..



เมื่อคืนอยู่เวร


มีคนไข้คนหนึ่ง เป็นเด็ก เพิ่งพ้นการใช้คำว่า "นางสาว"นำหน้าชื่อได้ไม่ถึงปี แต่มานอนโรงพยาบาล เนื่องจากแท้งบุตร


ไม่ได้ตั้งใจเอาคนไข้มานินทานะคะ แต่อยากสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสังคมของบ้านเรา ว่าเดี๋ยวนี้สังคมบ้านเราไปถึงไหนแล้ว


มีมารดามานอนเฝ้า คนที่ยังไม่รู้คือผู้เป็นบิดา เพราะ เด็กกับแม่ช่วยกันปิดผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นสามีของเด็กคนนี้ ก็แวะมา แต่ไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ เพราะ ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมเหมือนกัน


เห็นแล้วอนาถใจค่ะ สำหรับภาวะที่เรียกว่า ยังไม่ถึงวัยอันควร การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็ก


หลายวันก่อน เห็นถกกันระหว่างส.ว. กับคุณหมอที่เป็นที่ปรึกษา ในกระทรวงสาธารณสุขหรือศึกษาธิการ

ดิฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก ประเด็นก็คือเรื่องจะขายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา


มีการเปิดประเด็นนี้ให้ผู้ร่วมฟังได้เข้ามาวมแสดงความคิดเห็นด้วย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ต่างคนก็ต่างมองกันไปคนละมุม


คนที่เห็นด้วย จะมองในแง่ การป้องกันไม่ให้เกิดโรค และไม่ให้มีการกำเนิดเด็ก ในเวลาที่พ่อแม่ยังไม่พร้อม
นั่งดูแล้ว มานั่งคิดว่า มีผลประโยชน์ ระหว่างบริษัทผลิตถุงยางอนามัย กับบุคคลบางกลุ่มอีกรึเปล่า


สถานศึกษา ไม่ใช่ โรงแรม ไม่ควรที่จะนำตู้ขายถุงยางอนามัยมาไว้ในสถานที่นี้ ไม่คิดบ้างกรือว่า จะเป็นการชักนำ เด็ก..วุฒิภาวะ ยังไม่มี บางสิ่งเขายังแยกแยะไม่ได้ หน้าที่ของผู้ใหญ่ก็คือ ควรจะปลูกฝังในสิ่งที่ดีให้กับพวกเขา


ถุงยางอนามัยมีขายเกลื่อนในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งร้านเหล่านี้เห็นได้ทั่วทุกหัวระแหง ไม่จำเป็นเลย สำหรับสถานศึกษา


การตลาดของบริษัทผลิตถุงยางอนามัย คิดที่จะบุกตลาดในสถานศึกษากระนั้นหรือ ใช้อะไรคิดเนี่ย?
ถ้าเอามาติดตั้งหน้า โรงแรมม่านรูดสิ จะไม่ว่าเลย


ย้อนกลับไปมองปัญหาแรก...เด็กตั้งท้องเพราะ ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งนั่นก็ถูก แต่ทว่า เราจะไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุกระนั้นหรือ


สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว


เริ่มกันที่ครอบครัวกันก่อนดีมั้ยคะ

..จากใจถึงใจ..

ช่วงนี้ยอมรับว่าติด แด จังกึม งอมแงม เลยขอพูดถึงอีกสักครั้ง

ขอย้อนกล่าวถึง ช่วงที่พวกตัวร้าย (นั่นคือ พลพรรคจากตระกูลแช แล้วก็ เสนาบดีฝ่ายขวา พร้อมกับ พวกตัวร้ายทั้งหลาย) ยังเฟื่องฟูอยู่
ใครที่เคยดูและติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องน่าจะจำได้ว่า ช่วงที่พวกตัวร้ายร่วมมือ ตอนนั้น นางเอก ถึงแม้จะเป็นฝ่าย ธรรมะก็เถอะ ตอนนั้น
นางเอก ก็ยังสู้พวกนี้ไม่ได้เลย ตัวเอง ยังต้องถูกใส่ความ เข้าไปอยู่ในคุก กับพระเอกด้วยซ้ำ


ไปๆมาๆ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ พวกตัวร้ายแตกสามัคคี แบ่งก๊กเป็นเหล่าย่อยๆ อีก ลูกน้อง ก็ไม่รู้จะรับคำสั่งใครดี ตัดสินใจไม่ถูกเลย (หมอหญิงโยรี
ไงคะ จำได้รึเปล่า?) ตอนหลังเลยทำให้ฝ่ายดีจับไต๋ได้ ตัวร้ายเลยเข้าซังเต ไปตามระเบียบ บางคนสิ้นชีพด้วยซ้ำ เห็นไหมล่ะคะ แตกแยกกันเมื่อไร
ความพินาศมาเยือนเมื่อนั้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณืใดก็ตาม


ช่างบังเอิ๊ญ บังเอิญ จริงๆเลยนะคะ ที่นั่งดูละครเกาหลี แล้วย้อนดูบ้านเมืองที่เป็นมาตุภูมิของตัวเอง ว่าทำไมประชาชนพลเมือง ที่อยู่แผ่นดินเดียวกัน
จึงได้แตกความสามัคคีกันเช่นนี้ เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว แต่กลับดึงเอาประชาชน เป็นแสนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งนับวัน ก็กลายเป็นว่า บานปลายขึ้นเรื่อยๆ
หลายเดือนผ่านมา ปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศ แต่ละคนก็บอกว่า "เรารักในหลวง" แต่การกระทำ มันไม่ใช่เหมือนที่พูด


เวลาพี่น้องที่บ้านทะเลาะเบาะแว้งกัน พ่อแม่มักจะไม่สบายใจ แม่บอกว่า "แม่ไม่สบายใจเลยที่พี่น้องมาต่อว่ากัน เหมือนไม่รักกัน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่
มีความสุขหรอกนะ" ตอนนั้น ดิฉันและน้องๆ อึ้ง และต่างก็สำนึก ในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไป แต่สถานการณ์ตอนนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่สำนึกกันว่าตัวเอง
ทำให้พ่อของแผ่นดินเป็นทุกข์


ปีนี้ฉลองสิริราชสมบัติ 60ปี ของพระองค์ท่านด้วย แต่สิ่งที่ประชาชนคนไทยกลุ่มหนึ่งตอบแทนพระองค์ท่าน ?!!? เฮ้อ!! คิดกันบ้างไหมนี่?
ดิฉันจำได้ว่า เมื่อประมาณ 5ปีที่แล้ว ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ องค์กรของเรามีการลดเงินเดือนพนักงาน หักแล้วหักเล่า เพื่อประคับประคองให้องค์กรอยู่รอด อีกทั้งมีการปลดพนักงานออกอีกจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นทุกคนต้องกระเหม็ดกระแหม่ในการใช้สะตุ้งสะตังค์ เศรษฐกิจฝืดเคือง ประชาชนทุกหย่อมหญ้า ตระหนักว่า เราเป็นหนี้ IMF


เวลาผ่านไป ตั้งแต่วันนั้นจวบจนถึงวันนี้ เงินเดือนที่ถูกลด ก็ถูกเติมให้เต็มเหมือนเดิม เติมให้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ยังมีประชาชนบางกลุ่มถูกความคิดที่ว่า รัฐบาลปลูกฝังในเรื่อง "บริโภคนิยม"ให้กับประชาชน ดิฉันว่ามันไม่เข้าท่าเท่าไร กับความคิดนี้ รัฐบาลไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้พวกเรา เป็นอย่างนี้นี่นา ใครมาบังคับให้พวกคุณทำบัตรเครดิต ใครบังคับให้พวกคุณต้องเป็นหนี้เป็นสิน นอกจากตัวของพวกคุณเอง บางคนบอกว่า ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดก็มี การกระทำสิคะสำคัญกว่าคำพูด พูดแต่ไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีประโยชน์

บางคนดูถูกชาวบ้าน ว่าไม่มีความรู้เรื่องการเมือง เลยยังเชื่อในรัฐบาลชุดนี้ ดิฉันไม่คิดเช่นนั้นค่ะ ดิฉันมองในแง่ การที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ คนที่ได้ประโยชน์ ก็ย่อมสนับสนุน แต่คนที่เสียประโยชน์นั่นแหละ ที่ไม่พอใจ ชาวนาเขายังสนับสนุน เพราะพวกเขาขายข้าวได้ สะพานในหมู่บ้านที่เก่าจวนจะพังรอมร่ออยู่แล้ว ในสมัยรัฐบางชุดก่อน ที่อาจจะไม่เคยดูดำดูดี ในจังหวัดนั้นๆ แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหาร ชาวบ้านที่นั่นได้รับประโยชน์ จากสิ่งเหล่านี้ พวกเขามองเห็นได้ค่ะ เพราะมันเป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

ตั้งแต่จำความได้ ดิฉันก็ไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหนที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ไม่มีประชาชนตำหนิติเตียน (หรือใครจะเถียงว่ามี!!)
ดิฉันเอง ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ไม่เดือดร้อนที่รัฐบาลของนายกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ แต่ในสายตาดิฉัน ดิฉันเห็นผลงานของเขาค่ะ และไม่ชื่นชม และไม่ชื่นชอบ การกระทำ ของคนกลุมหนึ่งที่อ้างว่า เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ ประเทศไทย มีพี่น้องร่วมชาติกี่ล้านคะ แต่การกระทำของคนกลุ่มหนึ่ง (ที่บอกว่า "นับแสน") ที่อ้างแบบนี้ ดิฉันว่ามันไม่เข้าท่าเอาซะเลย และคิดดูสิว่า มานั่งปักหลักชุมนุมแบบนั้น ไม่คิดที่จะทำงานทำการกันบ้างหรือคะ
เข้ามาในเว็บนี้เพื่อที่จะอ่าน ข่าวอื่นๆบ้าง แต่กลับเห็น แต่สีแดงเถือก ไปทั้งหน้า เหมือนเลือดที่จะนอง ยังไงยังงั้น ไม่มีใครหรอกค่ะ ที่อยากให้แผ่นดินแม่ของตัวเอง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้


เขียนมาในฐานะ คนไทยคนหนึ่งเท่านั้นเอง