Friday, July 28, 2006

..ไม่เอาอีกแล้ว..Novotel..


ใครเคยไปเดินสำรวจงานไทยเที่ยวไทยบ้าง ?

เกริ่นหัวเรื่อง แค่งานไทยเที่ยวไทยนะคะ อันที่จริงแล้ว ประเทศของเราจัดงานหลายงานมาก เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งลดแหลกแจกแถม บ่อยครั้งด้วยในรอบหนึ่งปี ไม่ว่าจะจัดขึ้นโดยภาครัฐ และภาคเอกชน

หลายคนไม่ได้แค่ไปเดินสำรจแต่เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ได้ติดไม้ติดมือมาด้วยคือ พวกแพคเกจท่องเที่ยวต่างๆ ที่ล่อตาล่อใจ อดไม่ได้ เลยซื้อมาด้วย บางแพคเมีโอกาสได้ใช้บริการ แต่บางคนโชคไม่ค่อยดีนัก เสียเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้ใช้บริการ เรียกได้ว่า เสียเงินเปล่าว่างั้นเถอะ

เอาล่ะ เกริ่นมาตั้งนานแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคะ เมื่อต้นปี ดิฉันไปซื้อแพคเกจของโรงแรมชื่อดังมาจากงานไทยเที่ยวไทยที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้มาสองแพคเกจค่ะ เป็นของเขาค้อวัลเล่ย์ หนึ่งแพคเกจ แล้วก็ของโรงแรมโนโวเทลริมเพ ที่ระยองอีกหนึ่งแพคเกจ เดิมทีตั้งใจที่จะไปที่โนโวเทล ริมเพก่อน ในช่วงหน้าร้อน

ปกติแล้วตามระเบียบของ Voucher ที่ซื้อมา ต้องยืนยันการเข้าพักล่วงหน้าอย่างน้อย 14วัน ช่วงนั้นเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า เป็นฤดูกาลการท่องเที่ยว โรงแรมแถวนั้นถูกจองเต็มหมด จะจองช่วงนั้นวันไหนก็ไม่มีห้องพักว่างให้เข้าพัก โอเคค่ะ พวกเราเลยเปลี่ยนแผนกัน ตกลงไปที่เขาค้อวัลเล่ย์กันก่อนก็ได้ ใครที่เคยติดตามบล็อคนี้ คงเคยอ่านความประทับใจจากการไปเที่ยวเขาค้อของดิฉันมาแล้ว โชคดีของเราที่เขาค้อวัลเล่ย์ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค มีห้องพักไว้ให้พวกเราค่ะ

เรากลับมาดูแพคเกจของโนโวเทลกันต่อเถอะค่ะ แพคเกจที่เรามีอยู่ในมือ มีกำหนดถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2549 ช่วงหน้าฝนน่าจะเป็นช่วงโลว์ซีซัน เราตัดสินใจโทรไปจองวันพักอีกครั้ง คำตอบคือ ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในเดือนกรกฎาถึงต้นเดือนสิงหาคม ก็ยังไม่มีห้องให้เราจอง เต็มอีกแล้วครับท่าน ดิฉันเลยถามว่า โทรมาทีไรก็ไม่เคยมีห้อง ในเมื่อแพคเกจจะหมดกำหนดแล้ว จะทำยังไง ทางโรงแรมบอกว่า ปกติแล้วห้องของโรงแรมมีทั้งหมด 189 ห้อง ขณะนี้ปิดปรับปรุง เหลือห้องเพียง 85ห้อง ดังนั้นจึงยังไม่มีห้องพอให้พักได้


โอ! พระเจ้า การที่โรงแรมจะมาปรับปรุงห้องพัก ทำไมจำต้องมาปรับปรุง ช่วงที่ลูกค้าซื้อห้องไปแล้ว โรงแรมไม่เอาเปรียบลูกค้าไปหน่อยหรือ จ่ายเงินไปเต็มจำนวนแล้ว ถ้าไม่ไปพักตามที่กำหนดก็หมายความว่า เสียเงินเปล่า หรือทางโรงแรมจะบอกว่า ช่วยไม่ได้ ลูกค้าโชคร้ายเอง (หรือโง่เอง?!!?)

โนโวเทล ทำการตลาดแบบนี้ไม่เอาเปรียบลูกค้าเกินไปหน่อยหรือ ?

( ภาพ : Along The Beach โดย Paus Hans )

Tuesday, July 25, 2006

..มอเตอร์ไซด์เป็นเหตุ..


มีใครจำเหตุการณ์รถเมล์ทับคนตายแถวประตูน้ำเมื่อเดือนที่แล้วได้บ้างเอ่ย? ..

เหตุการณ์ที่คนจีนคนหนึ่ง ถูกรถเมล์ทับ แล้วเสียชีวิต จากรายงานข่าว ดิฉันจำได้ว่า รถเมล์คันนั้นไม่ได้ตั้งใจทับคนตาย ทว่ามีพยานเล่าว่า ก่อนที่รถเมล์จะทับชายคนนั้น มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง เฉี่ยวชนชายคนนั้นล้มลงก่อน แล้วผู้ขับขี่จักรยานคันนั้นก็ขับหนีไป ดิฉันไม่ได้ติดตามข่าวนี้ต่อ ไม่ทราบว่า คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว คนขับขี่จักรยานคันนั้นปรากฏตัวขึ้นหรือยัง

ที่ดิฉันเขียนประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะอดรนทนไม่ไหวค่ะ ช่วงนี้ เจอพวกคนขับขี่จักยานยนต์ (ดิฉันขอเรียกทับศัพท์ว่า มอเตอร์ไซด์ก็แล้วกันนะคะ ง่ายดี) ปาดหน้าบ่อยครั้ง ทุกวันเลยเห็นจะได้ เมื่อมีเหตุที่ต้องขับรถออกมาผจญภัยบนท้องถนน ไม่ว่าะเป็นวันธรรมดาหรือว่าวันหยุด

เคยสังเกตไหมคะว่า มอเตอร์ไซด์ชอบขับร่อน ร่อนไปร่อนมา ไม่ค่อยอยู่ในช่องทางของตัวเอง บ่อยครั้งที่จะปาดจากขวาสุดมาซ้ายสุด บางทีช่องทางมีนิดเดียว พี่แกก็หาทางเข้าไปจนได้ จริงๆไม่ได้เป็นห่วงชีวิตของพวกพี่ๆเหล่านี้นะคะ แต่เป็นห่วงผู้ที่จะโดนหางเลขด้วยน่ะสิ พี่แกตายไม่ได้ตายคนเดียวนี่นา คนอื่นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พลอยรับเคราะห์จากพฤติกรรมของคนพวกนี้ไปด้วย

หลายครั้งที่เห็นฝ่าไฟแดงมาเลยค่ะ น่ากลัวที่รถคันอื่นที่ขับมาถูกทาง หรือปฏิบัติตามกฏจราจร จะโดนเสยไปด้วย เห็นแล้วเซ็งมากๆ ยิ่งช่วงนี้ เจอกับตัวอยู่บ่อยครั้ง มอเตอร์ไซด์พวกนี้ขับปาดซ้าย ปาดขวา อยู่ๆโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไฟเลี้ยวที่รถยนต์เปิดกระพริบอยู่แล้ว พี่แกไม่สนหรอกค่ะ ปาดได้เป็นปาด

ยังมีอีก ที่เจอบ่อยๆคือ เวลาออกจากซอยหรือทางเลี้ยวที่จะเลี้ยวไปทางซ้าย (กรณีที่เราจอดอยู่เลนซ้ายแล้วจะออกซ้ายนะคะ) ปกติแล้ว ธรรมชาติของคนขับรถยนต์จะมองรถทางด้านขวาเป็นหลัก พอไม่มีรถมาทางขวา เราก็จะออกจากซอยนั้น จังหวะนั้นเองมีมอเตอร์ไซด์พุ่งออกมาทางซ้ายของรถเรา ช่องทางนั่นแหละค่ะ พวกนี้ก็จะหาทางเบียดเข้าไปจนได้ จังหวะออกพร้อมกัน ถ้าไม่ดูทางซ้ายก็ชนสิคะ ดูเขาทำสิ ดิฉันคิดว่าคงมีคนเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ

กรณีที่พวกนี้เขาขับร่อนไป ร่อนมาบนท้องถนน ไม่รู้จะโชว์ออฟรึเปล่า ว่าแน่ ข้าเก่ง เขาคงคิดว่า บนถนนเป็นสนามแข่งมอเตอร์ไซด์กระมัง แย่จริงๆเลยนะคะ ตำรวจไม่รู้ทำไมไม่จับคนเหล่านี้ที้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน อุบัติเหตุก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน อย่างที่เราทราบดีว่า ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย

ถ้าเขาทำแบบนี้แล้วเขาตายคนเดียว ดิฉันจะไม่ว่าเลยค่ะ

แต่ทำให้คนอื่นตายไปด้วยนี่สิ มันน่านัก ..

( ภาพ : Entrace To A Park โดย Butler Thelma Leaney )

Saturday, July 22, 2006

..ใจหาย..

รู้สึกอย่างไรเมื่อต้องจากที่ทำงานเก่าไป ..

วันนี้ดิฉันทำงานที่แผนกเป็นวันสุดท้ายแล้ว เหลืออีกชั่วโมง สองชั่วโมงเองค่ะ เลิกงานวันนี้ ก็จะไม่ได้ทำงานที่แผนกเดิมอีกต่อไปแล้ว ใจหายเหมือนกัน

ปกติแล้ว เวลาทำงานก็ต้องมาเซ็นชื่อในสมุด assign บางวันมาสายกว่าชาวบ้าน คนอื่นๆ ก็นั่งรอรับเวรกัน เพราะพวกเราทำงานเป็นทีมค่ะ ขาดเพื่อนร่วมทีมไปหนึ่งคน งานสะดุดแน่ๆ ชีวิตการทำงานที่ผ่านมา 13 ปีนี้ วันๆต้องนั่งดูตารางเวร เหมือนนักแสดงที่ต้องจัดคิวนั่นแหละค่ะ เช้า-บ่าย-ดึก หรือ ดึก-บ่าย-เช้า อยู่นั่นแหละ

นับตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป ชีวิตของดิฉันก็จะเปลี่ยนไปแล้ว คงไม่ต้องมานั่งท่องตารางเวรแล้ว คงใช้ชีวิตธรรมดาได้เหมือนชาวบ้านชาวช่องแล้ว แต่สัปดาห์หน้าคงมีแต่เรื่องเรียน กับเรียน คงมีอะไรใหม่ๆมาอยู่ในสมองอีกเพียบเหมือนกัน

วันก่อนรุ่นพี่ต่างแผนก ถามดิฉันว่า “ย้ายไปทำไม” ดิฉันตอบเธอว่า “เบื่อที่จะบ่นเรื่องเดิมทุกวันๆ ขอไปบ่นเรื่องใหม่ ในที่ใหม่ดีกว่า” เธอคนนั้นเลยหยุดถามดิฉันไป (มีคนบางคนว่าดิฉันเป็น ประเภท “ จอมแสบ ”ค่ะ )

หลายคนที่ย้ายทีทำงานบ่อยๆคงไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากมายนัก แต่ดิฉันรู้สึกแปลก ตื่นเต้น ระคนกับความรู้สึกใจหาย ที่ต้องจาก ที่ทำงานแผนกเดิม และเพื่อนร่วมงานกลุ่มเดิมไป บางคนก็ร่วมงานกันมาตั้งแต่ทำงานวันแรกเลยก็มี ความผูกพันย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่เขาเหล่านั้นก็แสดงความยินดีกับดิฉันที่ได้ไปเริ่มต้นที่แผนกใหม่ โลกจะได้กว้างขึ้น

วันนี้ดิฉันนึกถึงบรรยากาศของคนที่กำลังลาออกจากงาน ถ้าคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น คงเร่งรีบที่จะเก็บของใช้ส่วนตัว คนที่ทำงานนั่งโต๊ะคงเก็บของใช้ส่วนตัวบนโต๊ะลงกล่อง แต่ดิฉันไม่ได้ทำงานออฟฟิศ ดังนั้นของใช้ส่วนตัวก็จะอยู่ในล็อคเกอร์ เชื่อไหมคะว่า ป่านนี้ยังไม่ได้โยกย้ายของไปไหนเลย รอเขาไล่ ( ฮ่า ฮ่า พูดเล่นค่ะ)

การย้ายแผนก เป็นการโอนย้าย ภายในองค์กรเท่านั้น ไม่ได้ย้ายไปนอกองค์กร ถึงแม้ว่า พนักงานในองค์กรจะมีอยู่จำนวนมาก แต่ถ้าอยู่ในตึกเดียวกัน เพื่อนร่วมงานในแผนกเดิม กับตัวดิฉันเองคงยังเดินสวนกันไปสวนกันมาอยู่ ดังนั้นคงมีเวลาที่จะย่างกรายมายังที่แผนกเดิมอยู่แน่ๆ

วันนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ ก็ยังคงทำงานอย่างตั้งใจ ไม่ทิ้งระเบิดเอาไว้ให้ชาวบ้านเขาตำหนิเอาง่ายๆเหมือนกัน วันสุดท้ายแล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า อีก สองวัน ก็ได้เริ่มเรียนรู้งานใหม่แล้ว คงต้องเตรียมตัว และเตรียมใจให้ดี

ที่พูดไปทั้งหมดเนี่ย จริงๆแล้ว กำลังหาเรื่องปลอบใจตัวเองอยู่ค่ะ

ลึกๆแล้ว ยอมรับว่า .."ใจหาย ” ..


( ภาพ : Haymakers Evening Eragny โดย Pissarro Camille )

Wednesday, July 19, 2006

..เส้นทางชีวิต..


ช่วงนี้ยอมรับว่าทำงานหนักพอสมควร

สาเหตุประการแรกก็คือ ตามสภาวะอากาศ อากาศเปลี่ยนคนที่ภูมิต้านทานไม่ดี ร่างกายก็เจ็บป่วยง่ายเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ ดังที่เคยเล่าไปแล้ว เมื่อวัน สองวันก่อน ด้วยเหตุนี้ทำให้งานหนักตามไปด้วย จากปกติที่เคยทำงาน 9ชั่วโมง ก็ต้องเพิ่มเป็น 17ชั่วโมง เป็นอย่างนี้ หลายๆวันในรอบหนึ่งเดือน

ประการที่สอง คือ ไม่เฉพาะแค่งานทางด้านคลินิคเท่านั้น ยังต้องดูแลน้องๆ ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ที่ว่าใหม่เนี่ย คือใหม่ซิงๆ ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลมาก่อน พูดง่ายๆว่า เป็นพี่เลี้ยงของเด็กจบใหม่นั่นเอง ทางองค์การที่ดิฉันทำงานอยู่จะใช้เวลาประเมินการทำงานของพนักงานประมาณ 3เดือน (ที่เราเรียกกันอย่างชินปากว่า ช่วงโปร ฯ : Probation นั่นแหละ)

ดังนั้นช่วงสามเดือนแรกนี้แหละที่พวกเราต้องดูทั้งคนไข้ และดูแลน้องๆ เรียกได้ว่า เดินตามกันแทบทุกฝีก้าวเห็นจะได้ ยะงปล่อยไม่ได้แน่นอนจนกว่าจะพ้นโปรค่ะ เพราะงานของพวกเรามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายอยู่ทุกนาที อ่านแค่นี้เหนื่อยแทนกันบ้างไหมคะ

ยังค่ะ ยังไม่พอ ดิฉันเคยเกริ่นๆ เรื่องโอนย้ายไปอยู่หน่วยอื่นที่ดูมีความก้าวหน้ากว่าที่เดิมเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่สามารถย้ายไปได้ ไม่ได้รับการอนุมัติจากต้นสังกัดเดิมนี่คะ จะย้ายไปได้อย่างไร

ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน อีกไม่กี่วันดิฉันก็จะไม่ได้อยู่ดูแลคนไข้อีกต่อไปแล้ว เป็นคุณจะทำอย่างไรคะ เมื่อมีโอกาสเข้ามาหา คุณจะคว้าไว้มั้ย เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนดิฉันนั่งกลุ้มใจอยู่ว่า จะเลือกเส้นทางไหนดี ในเมื่อมีหนทาง 3 ทางเลือกมาให้เลือก ทางเลือกแรกได้แก่ ทำงานที่เดิม อยู่กับงานที่ตัวเองชำนาญแล้ว ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก (แต่ตัวเองก็ต้องอดทนและบ่นเรื่องเดิมๆ อยู่เรื่อยไป)

หนทางที่สอง ก็คืองานที่ตัวเองทำได้ รับผิดชอบมากขึ้นมากๆ เป็นงานที่ต้องไปทำตามคำสั่งของผู้บริหารระดับสูง งานนี้ก็เหมือนเป็นงานที่ต้องสานต่อความรู้เดิมที่มีอยู่บ้าง นั่น ส่วนหนทางที่สาม เป็นงานคุณภาพซึ่งไม่ได้อยู่หน้างานบริการเลย แต่ต้องควบคุมดูแลด้านคุณภาพการบริการทางคลินิค

ดูแล้วยังไงๆ ก็ต้องพบกับงานหนักอยู่แล้ว

พอจะเจอกับภาระที่หนักอึ้ง ดิฉันก็นึกถึงวันหยุดสี่วันที่ผ่านมา ดิฉันกลับไปหาป่าป๊า หม่าม๊า วันหนึ่งน้องสาวของดิฉันพาป่าป๊าไปออกรอบที่สนามกอล์ฟที่เขื่อนสิริกิติ์ ดิฉันกับคนใกล้ตัวก็พาแม่ ไปเที่ยวดูทิวทัศน์บนสันเขื่อน อากาศที่นั่นดีมากๆ อีกวันหนึ่งก็ไปเยี่ยมคุณลุงหมอที่เป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ (ท่านเห็นดิฉันมาตั้งแต่ดิฉันยังตัวเล็กๆอยู่เลย) เดินเที่ยวในบริเวณบ้านที่เป็นบ้านสวน มีลำธารไหลรอบๆบริเวณสวน มีความสุขชะมัด

ช่วงสี่วัน เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ชีวิตเรียบๆ เดินทางไปที่ไหนรถก็ไม่ติด อากาศดี รอบๆตัวบรรยากาศไม่เครียดเหมือนบรรยากาศรอบตัวในปัจจุบัน ผู้คนรอบตัวไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก ส่วนใหญ่ มักจะพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่กัน

เมื่อได้พบได้เจอกับบรรยากาศแบบที่เล่าให้ฟัง เทียบกับบรรยากาศรอบตัวที่เราได้พบได้เจอเป็นปกติ รวมถึงหน้าที่การงาน ที่จะต้องปฏิบัติในอนาคตข้างหน้า รวมถึงอนาคตอันใกล้ด้วย มันก็ต้องมีการเลือกแน่นอน

ชั่งใจอยู่ระยะหนึ่งค่ะ ว่าเลือกทางไหนดี เพราะ หนทางแรกที่เล่าไปข้างต้นคงไม่แล้ว แต่หนทางที่สองกับสามนี่งานใหญ่สำคัญมากๆเลย แต่ก็ต้องทำ จริงๆ อยู่ที่ตัวเองที่จะต้องตัดสินใจ ทายสิคะว่าดิฉันเลือกทางไหน บอกให้ก็ได้ค่ะ ดิฉันเลือกทางที่สองกับทางที่สาม โดยเลือกไปปรึกษาผู้บังคับบัญชาคนใหม่ สรุปแล้วไปทำงานที่สองระยะหนึ่ง ให้ระบบเข้าที่เข้าทางก่อน แล้วกลับมาทำงานที่สาม วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันยินดีมากๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เส้นทางนี้คงเลือกเดินในระยะเวลาไม่กี่ปี หนทางที่สงบและไม่วุ่นวายคงเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้เวลาที่แน่นอนว่าเมื่อไร

ดิฉันว่าท้ายที่สุดคนเราก็ต้องเลือกทางที่สงบที่สุดอยู่แล้ว จริงมั้ยคะ


( ภาพ : Summer Friends โดย Crookston Nancy Seamons )

Tuesday, July 18, 2006

..เจ้าตัวเล็ก..


ช่วงนี้หน้าฝน

คนไม่สบายกันเยอะค่ะ โดยเฉพาะเด็กๆ และที่เคยเล่าให้อ่านตอนหนึ่งว่า มีคนไข้ตัวเล็กๆ มาให้ดิฉันดูแลอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่แผนกของดิฉันไม่ได้ชำนาญทางการดูแลเด็กเล็กๆนัก วันนี้ก็ยังมีคนไข้เด็กอยู่ที่แผนก อยู่สามสี่คน วัยใกล้ๆกันค่ะ ประมาณ 3-5ขวบ

เด็กวัยนี้ เป็นวัยที่กำลังซึมซับอะไรๆจากผู้ใหญ่ หรือสิ่งแวดล้อมไว้มากเลยทีเดียวแหละ กำลังซน บางคนก็พูดเก่ง ช่างพูดช่างคุย แต่ตอนที่ป่วย คงไม่มีแก่ใจที่ทำอะไรเหมือนกัน

เด็กคนหนึ่งในจำนวนนี้ อายุ 4ขวบ เป็นไข้หวัดมาจนกระทั่ง หูชั้นกลางอักเสบ ทานอาหารไม่ค่อยได้ คุณหมอเลยให้นอนโรงพยาบาล และให้น้ำเกลือ หนูน้อยคนนี้ จะไม่ให้ใครมายุ่งกับมือและแขนข้างที่ให้น้ำเกลือของเธอเลย แค่แตะเนื้อต้องตัว ก็ไม่ค่อยพอใจแล้ว สังเกตว่าเธอจะนอนอยู่บนเตียงตลอด

เธอมีคุณแม่ดูแลอยู่ แต่ไม่สามารถดูแลเธอได้เต็มที่ เพราะมีน้องตัวเล็กๆอยู่ด้วย เพิ่งคลอดมาได้หกเดือนเท่านั้น หน้าตาน่ารักน่าชังทีเดียวเชียว คุณแม่บอกว่า ลูกสาวคนเล็กติดแม่มาก ไม่มีใครดูแลแทนได้ เธอจึงต้องพามาในโรงพยาบาลด้วย

ช่วงเย็นวันหนึ่ง คุณยายมาเยี่ยม คุณยายก็นั่งอยู่ข้างเตียงคอยดูแล หนูน้อยคนที่ป่วย ดิฉันก็เข้าไปให้ยาตามเวลา และคอยเข้าไปดูน้ำเกลืออยู่แล้ว แต่หนูน้อยคนนี้ ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก แตะตัว ก็ไม่ได้ แค่จับสายน้ำเกลือเธอก็จะร้องโอดโอยไม่ให้มายุ่งกับของๆเธอ แล้วดิฉันก็สังเกตว่า สายตาของหนูน้อยมักจะมองไปที่ผู้เป็นแม่และน้องสาวตัวเล็กของเธออยู่บ่อยๆ

เย็นวันนั้นคุณแม่ของเธอกดออดมาหลายครั้ง แต่ละครั้ง จะมาจากเหตุที่ว่า หนูน้อย(คนที่ป่วย) อาเจียน ปกติดิฉันก็ได้รับรายงานจากเวรก่อนๆ มาว่า เด็กคนนี้ทานได้น้อยอยู่แล้ว ครั้งแรกที่อาเจียนช่วงเย็น เป็นลักษณะของอาหารที่ไม่ย่อย รายงานคุณหมอไป คุณหมอก็ให้ยาแก้อาเจียนไปรับประทาน

พอตอนค่ำ คุณยายกลับไปแล้ว เหลือแต่คุณแม่และน้องสาวตัวเล็กๆ คุณแม่ก็กดออดมาอีกครั้งว่า ยังอาเจียนอีก ดิฉันถามว่าทานอะไรไปอีกหรือไม่ คุณแม่บอกว่า มีก๋วยเตี๋ยว เค็ก แล้วก็นม ดิฉันเลยแนะนำ ให้ทานทีละน้อยๆดีกว่า ตอนนั้น ก็เอากาละมังพลาสติกใส่น้ำไปล้างมือของหนูน้อยที่เปื้อนอาเจียน แล้วก็ช่วยบ้วนปากพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อให้ เธอบ่นเหม็นๆ ดิฉันก็ค่อยๆพูดหลอกล่อจนเด็ก คุยด้วย ถามคุณแม่ว่า เด็กหวงคุณแม่บ้างมั้ย คุณแม่บอกว่า หวงเหมือนกัน แต่จะเล่นกับน้องเป็นบางครั้ง

ดิฉันเลยถามเด็กว่า อยากลงมาเดินเล่นมั้ย อยากให้อุ้มมั้ย จะอุ้มลงจากเตียง แรกๆเธอกลัวว่าจะเอาเสาน้ำเกลือไปด้วยไม่ได้ (ที่นี่ น้ำเกลือใช้เครื่องควบคุมอัตราการไหลตลอดเวลาค่ะ) ดิฉันบอกว่าจะพาเธอลงมาเดินเอง พร้อมกับหยิบรองเท้ามาสวมให้ เธอยินยอมออกมาเดินค่ะ ดิฉันก็เข็นเสาน้ำเกลือให้ พาเธอไปที่กระจกบานใหญ่ อุ้มเธอมายืนบนเก้าอี้ และชี้ให้ ดูบรรยากาศช่วงค่ำ ดูแสงไฟ และสถานีรถไฟฟ้า ชี้ให้ดูรถไฟฟ้าเวลาจอดที่สถานี เด็กดูมีความสุขมากขึ้น

ไม่นานนักก็พาเดินกลับห้อง ระหว่างทางดิฉันชวนหนูน้อย พูดคุยไปเรื่อยๆ เธออารมณ์ดีมากขึ้นๆ ตอนที่กลับไปหาคุณแม่ เธอยังไม่ขึ้นไปที่เตียง เธอนั่งบนเบาะที่ปูกับพื้น ใกล้ๆเตียงของเธอ เล่นกับน้องสาวตัวเล็ก อย่างมีความสุขกันทั้งพี่ทั้งน้อง คุณแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย คุณแม่บอกว่า รอวันนี้มาหลายวัน ดิฉันเองก็พลอยยินดีไปกับพวกเธอด้วย

ไม่น่าเชื่อนะคะ เด็กตัวเล็กๆจะคิดมากขนาดนี้ ดิฉันเชื่อว่า การที่หนูน้อยคนพี่ นอนป่วยอยู่บนเตียง แล้วภาพที่เห็นก็คือ คุณแม่ดูแลแต่น้องสาวตัวเล็ก เธอคิดว่าเธอถูกทอดทิ้งแน่ๆ การที่เธออาเจียนออกมา ก็เป็นการเรียกร้องความสนใจแบบหนึ่ง

การจะมีลูกสักคนต้องเตรียมพร้อมเป็นอย่างมาก ดิฉันเห็นหลายคนอยากมีลูก แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้เตรียมพร้อมทางร่างกายและจิตใจอย่างจริงจังที่จะรับภาระอันหนักอึ้งที่จะตามมา การเลี้ยงเด็กสักคนต้องมีเวลาให้เขาอย่างเต็มที่ค่ะ

ขนาดที่บ้านดิฉันไม่มีเด็ก แต่เลี้ยงสุนัข คุณแม่ของดิฉันก็ใช้เวลาดูแลสุนัขตัวนี้ ตลอดเวลา เรียกว่า ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เกือบ 24ชั่วโมงเห็นจะได้

ดังนั้น ไม่ว่าจะเลี้ยงหมา หรือเลี้ยงคน ต้องให้เวลา และใส่ใจเขา ทั้งร่างกาย และจิตใจ อย่างเต็มที่

เอาเป็นว่าขอให้เลี้ยงง่ายๆ โตไวๆ กันนะคะ

( ภาพ : Reading Time โดย Crookston Nancy Seamons )

Wednesday, July 05, 2006

..พวงมาลัยเป็นเหตุ..


นั่งดูรายการร่วมมือร่วมใจ เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

มีคนขายพวงมาลัยตามสี่แยกมาร้องเรียน ขอความยุติธรรม จากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เหตุมาจากเด็กขายพวงมาลัยถูกรถชน ขณะกำลังขายพวงมาลัย เมื่อไม่นานมานี้

ดิฉันจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องเด็กขายพวงมาลัย ประมาณปีที่แล้ว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว เขียนไปก็เหมือนกับบ่น บ้านเรามักจะทำอะไรที่ที่ดูเหมือนกับ วัวหายล้อมคอก ถ้าไม่มีเด็กถูกรถชน ก็คงไม่มีมาตรการอะไรออกมาแน่ๆ

นั่งดูรายการ ดังกล่าว ประมาณครึ่งชั่วโมง พ่อค้าแม่ค้ามาร้องเรียนในรายการ มีหลากหลายวัย ไปจนกระทั่งคนชรา ทางรายการจับหน่วยราชการเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพมานั่งคุยด้วย เพื่อจะหาทางออกให้กับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ขายพวงมาลัยทั้งหลาย ปรากฏว่า ไม่มีใครยอมที่จะไปเรียนรู้ในการทำอาชีพใหม่

ทุกคนยืนยันที่จะทำอาชีพเดิมต่อไป โดยให้เหตุผลว่า ทำกันมาเป็นสิบปีแล้ว ทำกันทั้งชุมชน จะให้เขาไปทำอาชีพอื่นคงไมได้เนื่องจากพวกเขาไม่มีทุน

ผู้ดำเนินรายการทั้งสามพยายามไกล่เกลี่ย และหาทางออกให้ แต่บรรดาผู้ขายพวงมาลัยทั้งหลาย ก็ไม่ยอม ยืนยันขอทำอาชีพเดิมต่อไป ถ้าเป็นไปได้ ขอแค่มาจัดระเบียบให้เท่านั้น ทางราชการบอกว่า ควรมองอีกสองด้าน หนึ่งการขายพวงมาลัยตามสี่แยกนั้น ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และเท่านั้นยังไม่พอ ทำให้บ้านเมืองไม่เป็นระเบียบ อยากให้ เห็นแก่ส่วนรวมบ้าง

ป่วยการค่ะ เหตุผลเหล่านี้ ไม่สามารถทัดทาน บรรดาคนที่มาเรียกร้องได้ ต่างก็ยืนยันจะทำอาชีพเดิมต่อไป จะขายเป็นที่เป็นทาง ก็ไม่มีใครยอม บางคนบอกว่า หากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากวดขันก็คงหลบ และทำการแอบขายต่อไป เนื่องจากมีผู้ซื้อประจำ

คิดเห็นกันอย่างไรบ้างคะ สำหรับกรณีการขายพวงมาลัยตามสี่แยกอย่างที่เล่ามา?

หากอาชีพอื่น มาเรียกร้องแบบนี้บ้างบ้านเมืองไม่วุ่นวายกว่านี้หรือ? หากคนขอทานหรือพวก homeless ที่ถกกวาดต้อน มาเรียกร้องแบบนี้ล่ะ หรือถ้าขโมย ขะโจรบอกว่า ทำลักษณะที่ว่า มาเป็นสิบๆปี แล้วมาร้องเรียนล่ะคะ

แปลกนะคะ เวลาจะจัดหาอาชีพ หรือส่งเสริมอาชีพสุจริต แบบอื่นที่ทำเงินให้เหมือนกัน ก็ไม่สนใจ แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะคะ

ลำบากน้อ!!?!! ..

Tuesday, July 04, 2006

..หัวหิน..

หลายวันก่อนแวะไปตลาดโต้รุ่งที่หัวหินมาค่ะ

จากที่เล่าไป เมื่อวัน สองวันก่อน เรื่องที่ไปเยือน ชะอำ-หัวหิน ขอเล่าย้อนความเดิมที่บอกว่า หาที่พักได้ที่Sabaya Resort ที่ชะอำ พอถึงมื้อเย็นของวันที่ไปถึงที่นั่งพวกเราตัดสินใจไปหาข้าวทานกันที่ตลาดโต้รุ่งหัวหินกันดีกว่า ถึงแม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ใกล้ๆ แต่ก็คุ้มค่าแก่การเดินทางไปที่นั่น

ถามว่าทำไมไม่เลือกทานอาหารเย็นแถวสะพานปลา อันที่จริงตอนแรกเรากะว่าจะทานมื้อเย็นกันที่สะพานปลา เพราะมีร้านอาหารให้เลือกเยอะมาก อาหารทะเลสดๆทั้งนั้นเลยนะคะ ที่บอกว่าไม่เลือกทานที่นั่นก็เพราะว่ามื้อกลางวันพวกเราไปทานอาหารทะเลในบรรยากาศแบบนั้นกันแล้วที่ร้านปลาทู ร้านอาหารริมทะเล เห็นว่าเคยออกทีวีมาแล้ว ก็เลยอยากไปลอง อาหารอร่อยใช้ได้ แต่การบริการไม่ค่อยน่าประทับใจนัก อาจจะคิดว่าเป็นร้านดังก็ได้ เลยไม่ค่อยง้อลูกค้าเท่าไรนัก เอาเป็นว่าไม่พูดถึงร้านนี้กันต่อดีกว่านะคะ

ระยะทางจากชะอำไปถึงหัวหินประมาณ 24 กิโลเห็นจะได้ (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทาง ถนนโล่ง อาจเป็นเพราะ ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวก็เป็นได้ เราจึงไปถึงตลาดโต้รุ่งกันภายในเวลาเพียง 15 นาที ที่จอดรถริมถนนในเวลานั้น ไม่มีที่ว่างให้จอดแล้วล่ะค่ะ เพราะ ต่างคนก็ต่างมาหาอาหารรับประทานกันแถวนั้น แต่ไม่ต้องกังวล หาไม่ยาก ไปจอดที่วัดหัวหิน ไม่ไกลจากตลาดนัก เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

ใครที่ไม่เคยไปที่นี่จะตื่นตากตื่นใจ เพราะ มีอะไรให้เลือกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ของทานเล่น หรือไม่ก็สินค้าพื้นเมือง หรือสินค้าอื่นๆอีกมากมาย ดิฉันตรงไปที่ร้านอาหารในตลาด ที่เคยไปนั่งรับประทานสองสามครั้ง ปรากฏว่า นั่งได้ไม่นานก็ต้องลุกหนีค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของร้านอารมณ์ไม่ดีอะไรมา เราตัดสินใจไม่นั่งต่อดีกว่า ดิฉันว่า ถึงแม้อาหารจะอร่อยขนาดไหน แต่ถ้าเจ้าของร้านไม่รับแขก อาหารมื้อนั้นก็คงไม่อร่อยสำหรับเราแน่ๆ

ร้านอาหารตามสั่งในตลาดโดยมากจะเป็นอาหารทะเลสดๆค่ะ มีให้เลือกหลายร้าน เราเดินไปเรื่อยๆ มีอยู่ร้านหนึ่งยืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน ชื่อร้านครัวลุงจ่า ลองเสี่ยงเข้าไป นั่งดูเมนูแล้ว สั่งอาหารมา 3-4 อย่าง รายการแรก ก็คือปูม้านึ่ง ดิฉันถามก่อนค่ะว่า ปูม้ากิโลเท่าไร คำตอบก็คือ 300 (หรือ 350 นี่แหละค่ะ จำไม่ค่อยจะได้แล้ว) เขาถามว่าจะรับกี่กิโล เพราะกิโลหนึ่งจะมีปู ประมาณ 5-6ตัว ดิฉันเลยสั่งมาครึ่งกิโล พอถึงเวลาเสิร์ฟ ปรากฏว่าได้มา 4ตัวค่ะ ขอบอกว่าอร่อยแน่นอน ปูม้าสดๆ นึ่งเนื้อปูจะหวาน

จานที่สองคือปลาทับทิมราดผัดผงกระหรี่ ตอนแรกตักแต่เนื้อปลาทับทิม ก็รู้สึกเฉยๆ เหมือนปลาทับทิมทอดธรรมดา แต่พอตักผัดที่ราดเนื้อปลาอยู่ราดลงไปด้วย โห!! อร่อยค่อยิ่งทานกับข้าวสวยร้อนๆ แต่ปลาตัวใหญ่เหลือเกิน ทานแค่สองคนก็จะเกินที่กระเพาะจะรับได้แล้ว นอกจากนี้ยังมี ต้มยำปลาหมึกอีกถ้วยใหญ่ๆ ที่พวกเราสั่งมา ต้มยำปลาหมึกน้ำข้น อร่อยดี ไม่ผิดหวังเลย

พอรับประทานกับเกือบหมดแล้ว ทางร้านก็เอาถ้วยใส่น้ำแล้วมีมะนาวที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ มาให้ล้างมือ ปกติแล้ว ร้านอื่นๆโดยทั่วไป มักจะเอามาให้เวลาที่เราขอ หรือไม่ก็ใส่ถังวางไว้ให้ก่อนทุกโต๊ะอยู่แล้ว บางร้านก็ให้ไปล้างมือที่อ่างล้างเอง แต่ร้านนี้บริการโดยที่พวกเราไม่ต้องร้องขอค่ะ ดีจัง!! นี่แหละมั้ง ที่ดิฉันเรียนรู้ว่าหัวใจของการบริการคือ บริการเกินความคาดหวังของผู้มารับบริการ

อิ่มพอสมควรแล้ว เห็นมีไอศครีมขายด้วย คิดว่าเป็นเจ้าเดียวในตลาดนะคะ คนรอคิวเยอะมาก ที่ร้านมีโต๊ะให้นั่งด้วย แต่พวกเราเลือกที่จะเดินย่อยดีกว่า ที่นี่มีไอศครีมให้เลือก สาม สี่รสเห็นจะได้ มีทั้งกะทิ กาแฟ วนิลา ดิฉันชอบมะพร้าวค่ะ เลยเลือกกะทิดีกว่า คิดว่าคงใช้มะพร้างน้ำหอมทำแน่ๆ เพราะรสชาติของไอศครีมบ่งบอก อร่อยมากๆ ไม่ผิดหวังเลยที่รอ

ต่อจากนั้นเราก็เดินชมตลาดไปเรื่อยๆ มีของให้เลือกซื้อเลือกหาเยอะจริงๆค่ะ นี่ถ้าดิฉันไม่อิ่มมากๆ เสียก่อนคง แวะซื้อปลาหมึกย่างไปทานอีกแน่ๆ

เห็นตลาดโต้รุ่งแล้วสัมผัสบรรยากาศหัวหินแบบนี้แล้ว ดิฉันอยากอยู่ต่ออีกสักอาทิตย์

ถ้าทำอย่างนั้นได้ คงจะมีความสุขมาก



( ภาพ : Sunset Beach โดย Romanello Diane )

Monday, July 03, 2006

..เที่ยวชะอำ..


ดิฉันมีโอกาสเดินทางไปแถบชะอำ-หัวหินอีกแล้วค่ะ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เอง ไปสำรวจที่พัก ที่กิน เพื่อที่จะนำมารายงานเจ้านายของคนใกล้ตัว (คาดว่าเขาคงมีเหตุให้ต้องไปที่นี่กันเกือบทั้งบริษัทมั้งคะ เลยต้องไปสำรวจพื้นที่ไว้ล่วงหน้า ) อันที่จริงงานนี้ไม่ใช่งานของดิฉันหรอกค่ะ แต่พลอยได้อานิสงข์ไปด้วย จึงนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เผื่อใครไปแถวนั้น ยังหาที่กินที่นอนไม่ได้ บล็อคนี้อาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้

เราเริ่มจากการสำรวจในเว็บก่อนค่ะ อาศัย search engine นี่แหละค่ะ สำรวจโรงแรมแถวชะอำ การจะจองโรงแรมเนี่ย ถ้าจองโดยผ่าน agency เรามักจะได้ราคาถูกกว่าราคา walk in เสมอ หลายโรงแรมปรากฏใน google แล้วบางโรงแรมก็ไม่มีใน google เหมือนกัน แน่นอน ภาพในเว็บย่อมจะออกมาสวยงามน่าเข้าไปเยือน แต่หลายแห่งพอไปเห็นด้วยสายตาตัวเองแล้วไม่ยักกะเหมือนในรูปภาพ

เผอิญนึกขึ้นมาได้ว่ามีรีสอร์ทเล็กๆ แถวชะอำชื่อ Sabaya เราเลยเข้าไปสำรวจในเว็บของ sabaya ด้วย ดิฉันว่าน่าเข้าไปเที่ยวเลยแหละ ดูจากรูปภาพ แต่ดูในภาพก็ไม่เหมือนดูด้วยตา อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นที่นี่จึงเป็นที่ๆ พวกเราเข้าไปขอแวะชมด้วยเป็นที่แรก

หาได้ไม่ยากเลย พอไปถึงแยกชะอำ เราเลี้ยวซ้ายไปทางหาดชะอำ (ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นตัวอำเภอ) ตรงเข้าไปเกือบสุดซอยพอเห็นป้ายถนนหนองแจง ให้เลี้ยวขวาเข้าไปเลยค่ะ Sabaya จะอยู่สุดถนนเลย ที่นี่จะนำเสนอตัวเองว่าเป็น Bay Spa &Jungle Resort ที่ถูกใจเห็นจะเป็นต้นไม้ที่เขียวชะอุ่ม ตรงเข้าไปจะเป็นพื้นหญ้า สลับกับก้อนหินที่เอามาปูเป็นทางเดินเข้าไป เราเดินผ่านเรือนพักที่ออกแบบเป็นเรือนไทยสมัยใหม่ สาม สี่หลัง สวยเชียว วันนั้นยังตกแต่งไม่เสร็จ เห็นบอกไว้ว่าจะเรียบร้อยในสัปดาห์หน้านี้


ที่พักของเราจะเป็นตึกสีขาวชั้นเดียว หน้าตึกจะมีสระว่ายน้ำสวย ก่อนจะเดินไปถึงตัวตึกและสระว่ายน้ำจะมีศาลาให้นั่งพัก มีโซฟาให้มานั่งเอกเขนกได้

ในห้องพัก จะตกแต่งแบบเรียบๆ แนว Minimalist ผนังสีขาว เรียบมีลูกเล่นโดยการทำให้ผนังดูคล้ายๆกับเอาหินก้อนใหญ่ๆมาวางทั่วผนัง ตู้วางทีวีที่อยู่หน้าเตียง ดูเหมือนตู้ไม้เก่าแล้วเอามาทาสีใหม่ มีรูปวาดดอกสีลาวดีสีขาวอยู่บนเนื้อไม้ ข้างในตู้ก็จะมีตู้เย็นเล็กๆ เหมือนโรงแรมทั่วไป

ผนังห้องน้ำที่นี่เป็นสีของปูน แต่มีลายของใบไม้ชนิดต่างๆ มาแปะบนปูนทำให้ดูคล้ายๆกับ fossil ตู้ข้างกระจกในห้องน้ำ ใช้ไม้ ส่วนสีนั้นก็เป็นสีน้ำตาลแบบไม้โอ๊ค อุปกรณ์ในห้องน้ำก็เลือกได้อย่างลงตัว ดูน่ารักค่ะ ถูกใจจริงๆ

ออกมาจากห้องน้ำเงยหน้ามองเพดาน ที่หลังคาห้องมีกระจกเลื่อน (sun roof) เสียด้วยสิ ดิฉันว่าถ้ามาเที่ยวช่วงหน้าร้อนหรือหน้าหนาวคงเห็นดาวเต็มฟ้าแน่ๆ

ยังค่ะ ตอนแรกยังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้ที่นี่เป็นที่พักของพนักงาน ช่วงที่มีงานประชุมวิชาการเดือนหน้า ขอไปดูเจ้าอื่นด้วย ดังนั้นก็เริ่มสำรวจเลย ไปบริเวณหน้าหาดชะอำกันดีกว่า เยอะเหมือนกันนะคะ ที่พักติดหาด แต่ไม่มีที่ไหนที่ถูกใจเลย เนื่องจากพลุกพล่านเกินไป ไม่เป็นไรค่ะ ลองไปดูโรงแรมข้างนอก ที่ติดถนนใหญ่ก็ได้ เราไปสองสาม บางที่ก็เป็นโรงแรมใหญ่ มีชื่อเสียง แต่ดูเก่ามาก แค่ป้ายโรงแรมก็เก่าไม่น่าเข้าไปพักแล้ว บางที่ก็ราคาสูงเกินไป หน้าฝนราคาไม่น่าจะสูงมากขนาดนี้ ไปๆมาๆ เราก็ตัดสินใจกันได้ว่า จองที่ Sabaya เลยดีกว่า

เย็นวันนั้นหลังจากไปไปทานข้าวกันที่ตลาดฉัตรไชยที่หัวหิน ( 20 กว่ากิโล แต่ใช้เวลาไม่นานนัก 15นาทีเห็นจะได้) กลับมาถึงที่พักพวกเราก็กลับมานั่ง เอกเขนก ที่ศาลาหน้าสระว่ายน้ำในรีสอร์ท ไฟจากหลอดไฟสีส้มหลอดเล็กๆ ที่ทางรีสอร์ทติดไว้แถวสระว่ายน้ำ และหน้าตึกที่พัก สวยเชียวค่ะ ยิ่งเมื่อนำในสระต้องแสงไฟ ยิ่งสวย


ที่ศาลามีเครื่องเสียงเล็กๆ ด้วยดิฉันเลยเอาแผ่นซีดี แจ็สมาเปิด โห!!โรแมนติคชะมัด จากนั่งเลยนอนฟังซะเลย

นี่แหละค่ะ ที่ชอบที่สุด สำหรับการที่รีสอร์ทแห่งนี้จัดพื้นที่แบบนี้ไว้ให้ผู้ที่เข้ามาเยือนได้สัมผัส เราจะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ที่โรงแรมใหญ่ๆไม่มีให้ หลับตานึกถึงแล้วยังรู้สึกถึงความสุขที่เพิ่งไปสัมผัสมา

ลองไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้กันบ้างสิคะ




( ภาพ : Concentration โดย Nancy Cole )