Monday, April 30, 2007

..ฟุ้งซ่าน..


เมื่อคืนฝนตกตั้งแต่ตีสาม ...


บางคนบอกว่าฝนตกทำให้หลับสนิทขึ้น เผลอๆมาทำงานสายอีกต่างหาก ..ตรงกันข้าม ฝนตก ทำให้ฉันตื่นมากลางดึก ตกใจเสียงฟ้าร้อง ฉันไม่ชอบเลยที่ต้องตื่นมากลางดึกแบบนี้ ฉันชอบการนอนหลับอย่างสนิท ระหว่างที่นอนหลับต้องไม่มีการฝันเรื่อยเปื่อยด้วยนะ มีคนบอกว่า การนั่งสมาธิ ช่วยไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อย ช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่าน ช่วยเรียกสติกลับคืนมา


ฉันฝึกการทำสมาธิ มาเป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว เฉลี่ยแล้วนั่งได้วันละ 15 นาที (ก็ยังดี) ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิ ดังนั้น การฝึกสมาธิจึงเป็นเรื่องลำบากอยู่พอสมควร ช่วงแรกอาจจะอยู่ไม่นิ่ง ด้วยความเป็นคนที่ยุกยิกเป็นอาจิณ (ฉันนี่เหมือนลิงจริงๆ !!) พอใช้เวลาระยะหนึ่ง ฉันนั่งนิ่งได้มากขึ้น ไม่ปวดขา (พี่ที่ทำงานบอกว่า คนที่นั่งสมาธิแล้วปวดขา พระท่านบอกว่า คนที่กินกบบ่อยๆ เวรกรรมมันตามทัน ...เออ!! แปลกดีจัง )


ฝน...จะตกอีกแล้ว


บรรยากาศตอนฝนตก ทำให้ใจห่อเหี่ยว แปลกดี ...อากาศร้อน คนก็บ่น ..ฝนตก คนก็บ่นอีก'คน'ที่บ่นก็คือ ฉันนั่นเอง มีคนเคยบอกว่า 'เบื่อคนบ่น คนเบื่อ คนบ่น' ฉันเลิกบ่นไม่ได้หรอก ถ้าเลิกบ่นก็คือ เลิกเขียน แฮ่!!


ดูสิ ไปๆมาๆ วันนี้ ...ไดอารี จริงๆ
( ภาพ : Garden Breeze โดย Larson Thomas)

Friday, April 20, 2007

..วันแห่งความเซ็ง..


วันนี้ประชุมถูกเรียกประชุมทีม..

ต้องขับรถไปเองอีก…รถเจ้ากรรมก็ยังไม่ได้ล้าง เปื้อนแป้งสงกรานต์อยู่เลย ดองไว้นานแล้วนะเรื่องล้างรถ หวังว่าเสาร์-อาทิตย์นี้คงได้ล้างนะ

กว่าจะไปถึงที่หมายก็เกือบชั่วโมง นี่เร็วแล้วนะเนี่ย ปกติเป็นชั่วโมง นัด 10 โมง ไปถึง 9 โมงกว่า ก่อน 10 โมงประมาณ 15 นาที เจ้านายยังโทรมาเร่ง ฉันว่าฉันไปก่อนเวลาแล้วนะเนี่ย

วิจัยบทที่ 1 แก้แล้วแก้อีก แก้รอบนี้ เป็นรอบที่ 3 แล้วนะเนี่ย (นับรวมเขียนครั้งแรกแล้ว) บรรเลงเขียนมันซะ 9 หน้า แต่ก็ยังต้องแก้อีกจนได้ สรุปว่าสมมติฐานไม่ตรงกับแบบสอบถาม เหอ เหอ เหอ ตั้งไปได้ยังไง

Tuk- Tik research (แปลว่า วิจัยตุกติก ) ไม่ได้เรียงบทหรอก และไม่ได้เรียงตามขั้นตอนด้วย ..ขั้นแรก ทำ questionnaire มันก่อนเลย โอย!! ฉันจะบ้า ถึงว่า ฉันนั่งอ่านตำราตั้งหลายเล่ม ตามประสาคนที่สมาธิสั้น ฉันว่ามันก็ค่อนข้างลำบากสำหรับตัวเองพอสมควร การจะเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกันให้เป็นความคิดรวบยอดมันก็ค่อนข้างยาก ยิ่งฉันเป็นคนที่มักจะมีสมาธิสั้น สติก็เลยกระเจิงซะเป็นส่วนใหญ่

สรุปแล้ว จากสมมติฐาน 8-9 ข้อนั่น ก็ลดลงเหลือแค่ 3 ข้อ (ก็ดี)

เก็บข้อมูล ร่นเวลาจากสิงหามาเป็นพฤษภา (วิเคราะห์ผลให้เสร็จภายในพฤษภานะ) …โอ!! พระเจ้า ไหนจะต้องเขียนบทที่สอง ไหนจะ…

เซ็งวุ้ย!!

Tuesday, April 17, 2007

..เริ่มต้นวันทำงาน..



เมื่อเช้าไม่อยากตื่นขึ้นมาทำงานเลย ..

หลังจากหยุดไป 4 วัน เกิดอาการติดลม อยากนอนต่อ วันหยุดนี่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลเลย ฉันเป็นโรคกลัวผู้กลัวคน กลัวที่ๆมีคนเยอะๆ เห็นข่าวคนตายที่น้ำตกสายรุ้งในจังหวัดตรัง ก็ใจคอไม่ค่อยดีแล้ว แย่จังมีแต่คนตายหมู่

3-4 วันที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เหมือนเมืองสวรรค์เลย เงียบสงบ ใช้เวลาเดินทางไปไหนมาไหนไม่นานนัก วันอาทิตย์ ฉันใช้เวลาเดินทางไปโบสถ์ไม่ถึง 15 นาที ไม่น่าเชื่อ !! ช่วงวันหยุดปีใหม่ ยังไม่ได้ถึงขนาดนี้เลยนะ

มีเรื่องน่าดีใจอีกหนึ่งเรื่อง (ถึงแม้ว่าไม่ได้ดังใจคิด 100% ก็เถอะ) นั่นคือทำการปรับปรุง แก้ไขบทนำ ของงานวิจัยที่ทำอยู่ วันนี้ส่งให้ผู้บังคับบัญชาดูแล้ว ไม่รู้ว่าจะผ่านรึเปล่านะ ต้องคอยลุ้น แก้ไขบ่อยๆ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วนะ ยิ่งไม่ใช่นักวิจัยมืออาชีพอยู่ด้วย

เห็นรถไม่ติด สองวันก่อนเลยไปดูเรื่อง ‘เมล์นรก หมวยยกล้อ’ ก่อนที่จะตัดสินใจไปดูเรื่องนี้ ก็เนื่องมาจากความตลก ครื้นเครงของหนัง …ตลกจริงๆ และหนังยังสามารถสะท้อนพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของคนในยุคปัจจุบันได้ดีทีเดียว ตัวแสดงในเรื่อง เล่นได้สมบทบาททุกคน ทั้งป๋าเทพ ที่เหมือนคนขับรถเมล์จริงๆ โน้ต-อุดม ก็ช่างเหมือนกระเป๋ารถเมล์ เนาวรัตน์ ก็แสดงได้สมบทบาทของแม่ค้า รวมทั้งคนอื่นๆ ในเรื่องด้วย

ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะมีบางฉากบางตอนที่ไม่สมจริง สมจังเท่าไรนัก เช่น ปืนที่ถูกโยนออกทางหน้าต่าง หรือตำรวจที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไล่รถเมล์ ก็ตาม แต่ก็ใช้ได้ สำหรับผูสร้างและผู้กำกับ รวมถึงเหล่านักแสดงที่กล่าวถึงข้างต้น

หนึ่ง- หนังให้ข้อคิดกับเราพอสมควร
สอง- ดูหนัง ดูละคร ควรย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย

จบ



( ภาพ : Eternal Perspective โดย Carrie Graber )

Thursday, April 12, 2007

..ก่อนสงกรานต์..


วันนี้ที่ห้องทำงานเงียบดีจริง..

ปกติในห้องที่ฉันนั่งอยู่จะมีคนนั่งกันอีก 3 คน วันนี้ ฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง ก็เงียบดี มีคนเวียนเข้ามาทัก (ห้องที่ฉันนั่งทำงาน จะมีประตูเชื่อมกับอีกห้องหนึ่งที่อยู่ถัดไป ) บางคนถามว่า เหงาไหม อยู่คนเดียวหรือ? ฉันก็ยิ้มๆไป เพราะ ฉันชอบความเงียบ สิ่งนี้ทำให้เรามีสมาธิ

หลายคนพักร้อนไปเที่ยวสงกรานต์ คมช. มนโยบายให้เพิ่มวันหยุดอีก 1 วันรวมเป็น 5 วัน อยากให้ประชาชนได้อยู่กับครอบครัวของตัวเองมากขึ้น องค์กรของฉันไม่ได้ให้วันหยุดเพิ่มตามนโยบายของ คมช.หรอก (มีหนังสือพิมพ์บางฉบับบอกว่า มีความผิดนะ ..นี่ว่าจะไปฟ้อง คมช.นะเนี่ย ฮ่า..ฮ่า) 4 วันที่หยุดก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะไปไหน แม่บอกว่าไม่ต้องกลับมาช่วงเทศกาลหรอก เป็นห่วงช่วงเดินทาง เห็นข่าวอุบัติเหตุเยอะเหลือเกิน เลยไม่กล้าเดินทางเหมือนกัน

ล่าสุดกลับไปหาแม่เมื่อเดือนที่ผ่านมา เดียวเดือนหน้าแม่กับพ่อก็มาแล้ว รออีกเดี๋ยวเดียว ..เห็นว่าจะเที่ยวสมุทรสงครามกัน แม่อยากเที่ยว พ่อก็ถือโอกาสมาชุมนุมรุ่นกับเพื่อนๆ เสียเลย

ปีก่อนขับรถกลับเองช่วงสงกรานต์ ขาไปไม่ลำบากเท่าไรนัก แต่ขามานี่สิ ฉันยิ่งเป็นคนขี้หงุดหงิด ใจร้อนอยู่ด้วย จำได้ว่ารถตอดมากๆ อากาศก็ร้อน พอมาถึงช่วงนครสวรรค์หรือชัยนาทนี่แหละ ติดมากๆ เลียวเข้าปั้มไปสงบสติอารมณ์เสียเลย ไม่งั้นเดี๋ยวกลัวว่าจับไปชนชาวบ้านเขา โมโหทีไร สติแตกทุกที.. ดีที่มีคนใกล้ตัวคอยปราม

เวลาผ่านไปครึ่งวัน เหลืออีกครึ่งวัน เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว

ท่าทางจะไม่ได้พักเต็มที่เพราะต้องขนหนังสือกลับไปนั่งเขียนงานวิจัยที่ยังค้างอยู่

จะทวงสัญญากับบางคนด้วย (ยื่นหมูยื่นแมว อิอิ )



( ภาพ : Tulip-Shores-Cycles โดย Sides Henry )

Wednesday, April 11, 2007

..สภาวิจัย..




เช้าวันนี้ไปสภาวิจัยมา..

มีบุญ ได้รู้จักสภาวิจัยเสียที เคยได้ยินชื่อมานานแสนนาน เมื่อทำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานวิจงวิจัยอะไรพวกนี้ ก็ต้องเข้าไปรู้จักมักคุ้นกันเสียหน่อย

ที่ตั้งก็อยู่ไม่ไกลนักจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใกล้ๆกับกรมป่าไม้นั่นแหละ เลี้ยงรถเข้าไป แต่ถ้าไม่จำเป็นอย่าเอารถไปเลย เนื่องจากหาที่จอดได้ลำบากมาก วนสองรอบกว่าจะได้ที่จอด แถวนั้นแบ่งเป็นส่วนๆ ใครจะมาติดต่อส่วนไหนก็อย่าไปจอดรถข้ามส่วนนะคะ (คิดเอาเองว่า) คนดูแลอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง

วาดภาพสภาวิจัยไว้อย่างหรูเลิศอลังการ ก็ชื่อบ่งบอกว่า ‘สภาวิจัยแห่งชาติ’ แต่ที่ไหนได้ ไม่รู้จักปรับปรุงให้สมฐานะเอาเสียเลย ยุคนี้สมัยนี้ ทั้งประเทศเรา ประเทศอื่น ประเทศไหนๆ ก็เน้นเรื่องงานวิจัย เรียกให้หรูก็คือ นวัตกรรมใหม่ๆ ฉะนั้น สถานที่ที่เก็บข้อมูลเรื่องพวกนี้ น่าจะสร้างไว้ให้น่าเข้าไปใช้บริการ

ตัวตึกที่นั่นก็โทรมมาก ตึกเล็กกว่าหอสมุดแห่งชาติเป็นกอง พูดถึงความทันสมัยนี่เทียบไม่ได้กั TK Park หรือห้องสมุดของสถานศึกษาโดยทั่วไปด้วยซ้ำ เห็นบอกว่าระบบฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค้นหางานวิจัยนี่ก็เพิ่งมีใช้ได้ไม่นานนัก จริงๆ งบประมาณน่าจะเทลงมาในส่วนของงานวิจัยนี้ให้มากกว่านี้ (หรือว่ามีงบแล้ว แต่ไม่ยอมปรับปรุง ?!!?)

ไปห้องสมุดแล้ว มีหรือที่จะไม่ใช้บริการในเรื่องการถ่ายเอกสาร (จะพลาดไปได้อย่างไร อิอิ) การก่อนที่จะนำงานวิจัยไปถ่ายเอกสารได้ต้องผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนเสียก่อนที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ลงทะเบียนให้เรียบร้อย ขั้นตอนนี้เห็นบอกว่า เกิดขึ้นเนื่องมาจาก หนังสือหายไปจากห้องสมุดอยู่บ่อยๆ เลยต้องใช้วิธีนี้ (แหม!!ก็หนังสือติดบาร์โค้ดแล้ว น่าจะมีตัวเซนเซ่อร์ที่ประตูด้านหน้าป้องกันการโจรกรรมน่าจะดีกว่า เนอะ) ที่นั่นมีแบบสอบถามความคิดเห็น ด้วยความเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ เรื่องติชม ไม่พลาดอยู่แล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขียนไปแล้วเขาจะปรับปรุงรึเปล่านะ รุ่นพี่ที่ไปด้วย เธอบอกว่า ครั้งก่อนเคยเขียนเหมือนกัน แต่ก็เห็นเป็นเหมือนเดิม –ปัดโธ่!! แล้วเขาจะแจกแบบสอบถามไปทำไม(วะ)

ตู้หนังสือ มีหนังสืออัดไว้เต็มกว่าจะหยิบออกมาแต่ละเล่มได้ ก็ยากเหลือเกิน เลขทะเบียนต่ำกว่า 100,000 กว่าๆ (จำกว่าไม่ได้อ่ะ) อยู่ใน warehouse –สรุปว่าโละทิ้งหมดแล้ว ต้องไปค้นที่สถาบันนั้นๆเอาเอง

ใช้เวลากับสภาวิจัยไปได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง พอจะมีสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่บางเล่ม (ที่ยังไม่โละทิ้ง) กำลังนึกเสียดาย งานวิจัยที่ถูกโละทิ้ง เสียดายแทนคนผลิตงานจริงๆ นี่ถ้าปรับปรุงห้องสมุดที่นี่ให้ดี จะยอดเยี่ยมมากๆ

ทำให้สมฐานะหน่อยเถอะค่ะ " สภาวิจัย "





(ภาพ : Sleep โดย Carl Holsue )

Tuesday, April 10, 2007

..บ่นอีกแล้ว..


เปลี่ยนลักษณะงานเป็นนั่งโต๊ะแล้วแล้วท่าทางสุขภาพจะแย่ลง..


อย่างแรกที่เห็นคือ ปวดเมื่อยตัวบ่อยขึ้น นั่งอยู่กับที่นานๆ ปวดสะโพกชะมัด ต้องหาโอกาสเดินเสียมั่ง เมื่อก่อนใช้เวลาไปกับการเดินเยอะ เพราะงานที่ทำมันต้องเดิน ไม่ค่อยได้นั่ง สิ่งที่ได้ก็คือไม่มีพุง ขาไม่โต ใครหนอบอกว่าเดินเยอะแล้วขาใหญ่ ตอนที่ฉันเดินเยอะขาฉันก็ไม่ใหญ่นะ..ที่ปวดสะโพก เพราะน้ำหนักมันลงไปที่นี่เยอะแน่ๆ นั่งนานๆ ก็ปวดเป็นธรรมดา


ตอนนี้ทั้งพุง ทั้งต้นขา ไขมันแต่ละโมเลกุลยินยอมพร้อมใจกันมากองอยู่ตรงนี้กันหมด ว่าจะๆ ออกกำลังกายแล้ว ก็ไม่ได้ออกซะที นี่แหละน๊า ถ้าไม่ได้เริ่ม ก็ไม่มีวันได้ทำหรอก พออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญมันก็ทำงานน้อยลงเรื่อยๆ กินอะไรเข้าไปนิดๆหน่อย ก็อึดอัดแล้ว วันก่อนอาหารเย็นคือผลไม้ อีกวันก็แค่สุกี้แห้ง กินวันละสองมื้อแต่ก็อ้วนเอาๆ ...น้ำหนักอีกโลสองโล ก็จะห้าสิบแล้ว (โอ้ว!! ไม่น่าเชื่อ ..เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้)


เลิกงานแล้วกินข้าวเย็น อีกแป๊บก็มืดแล้ว ดูทีวี นั่งๆนอนๆ ไม่อ้วนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ...นี่เริ่ม sit up แล้ว หลังจากที่ร้างลาไปตั้งนาน วันก่อนบ้าเรื่องฮวงจุ้ย ชวนพี่ที่ทำงาน ย้ายโต๊ะทำงานกัน..เสียเวลาไปตั้งครึ่งวัน วันรุ่งขึ้นปวดเมื่อยตัวไปหมด ...เหมือนคนแก่จริงๆ


ฉันว่าคนสมัยนี้ หน้าเด็ก (เพราะมัวแต่ไปบำรุงผิวหน้า) แต่สุขภาพจริงๆน่ะ ย่ำแย่ แข็งแรงสู้คนสมัยก่อนไม่ได้ คนสมัยก่อน หน้าเด็ก หน้าแก่ เป็นไปตามวัย แต่เขาบำรุงสุขภาพจากข้างในกันมากกว่า


นี่นั่งมาสองสามชั่วโมงแล้ว ลุกเดินมั่งดีกว่า เดี๋ยวจะไปกันใหญ่


อ้าว!! กรรม ...ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว บ่นอีกแล้ว



( ภาพ : Geraniums โดย Lorna Patrick )

Monday, April 09, 2007

..หน้าที่พลเมือง..


เมื่อวานตอนที่ฉันกำลังนั่งร่างงานเขียนของฉัน ไปได้ครึ่งหน้ากระดาษ

คนใกล้ตัวบอกฉันว่า อยากให้ฉันเปลี่ยนแนวการเขียนบล้อคเสียใหม่ ให้เนื้อหาดูซีเรียสน้อยลง เพราะนับวันก็ดูเหมือนยายแก่ขี้บ่นไปทุกวี่ทุกวัน ฉันเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันทีทันใด หมดอารมณ์เขียนในบัดดล ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันทำการ shut down แล้วเก็บโน้ตบุ้ค ใส่กระเป๋า ณ บัดนั้น

เวลาฉันโกรธหรือโมโหอะไรขี้นมา บรรยากาศแถวนั้นจะเงียบขึ้นมาทันที ยามโกรธฉันมักจะไม่พูด ต่างกับบางคน ถ้าโกรธหรือโมโห อาจจะสะท้อนอารมณ์โกรธออกมาด้วยคำพูด บางคนด่าไฟแลบ บางคนทำลายข้าวของ ไม่ใช่วาฉันจะไม่เคยทำแบบนั้น ฉันเคยโมโหแล้ว เอาไปลงที่สิ่งของ แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย ช่วยอย่างเดียวคือ ช่วยทำให้ข้าวของพังเร็วขึ้น และช่วยทำให้ตัวเราเองนั่นแหละ เจ็บตัว จริงอย่างที่โบราณท่านว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

ย้อนกลับมาถึงเนื้อหาในบ้านโน้น ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากอารมณ์เครียดของฉัน ฉันว่าหลายครั้งสิ่งที่ควรได้รับการพัฒนาในสังคม ฉันก็อยากให้มันพัฒนาขึ้นมา ฉันไม่ชอบการนิ่งดูดาย หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือบางคนอาจจะบอกว่า “ธุระไม่ใช่”

สไตล์การเขียนบล้อคของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะถนัดหรือสื่ออะไรลงไป ตัวฉันเองก็เหมือนกัน ฉันถนัดที่จะสื่อแบบนี้ให้สังคมได้รับรู้ และฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นรอบตัวทุกวี่ทุกวัน ความถูกต้องก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้น ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง ทำไมคนในสังคมไม่คิดกันบ้างว่า กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ แต่พอเรื่องเกิดขึ้นแล้ว มักจะมานั่งโทษกันว่า วัวหายล้อมคอกเสมอ ในเมื่อทุกคนไม่ร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้มันถูกต้องแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะไปโทษใครดี?

หลายเรื่องที่ฉันอยากจะถ่ายทอดให้สังคมได้รู้ เผื่อว่าจะมีใครลุกขึ้นมาแก้ไข ความไม่เหมาะไม่ควร ไม่ถูกไม่ต้องเหล่านั้นได้ ฉันเองเป็นคนตัวเล็กๆในสังคมเท่านั้น ฉันไม่มีอำนาจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ ในเมื่อคนที่มีอำนาจไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ สังคมไม่มีวันดีขึ้นได้หรอก


ไม่ใช่ว่าฉันมือไม่พายแล้วเอาเท้าราน้ำ เพียงแต่ ฉันทำอะไรมากไปกว่านี้คงไม่ได้ สิ่งที่ฉันทำได้ ก็เท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ



( ภาพ : Entertainement A Deauville โดย Defossez Alfred )

Friday, April 06, 2007

..เวรกรรม..


เมื่อสักครู่นี้ได้รับเมล์ลูกโซ่จากเพื่อนคนหนึ่ง..


ฉันอ่านตัวหนังสือในเมล์ไม่ออกหรอก อาจจะเป็นเพราะ font ในเมล์ไม่รองรับ ฉันคลิกดูไปเรื่อยๆ เพราะมีรูปด้วย ในนั้นเป็นรูปผู้หญิงที่ผิวหนังของเธอน่ากลัวมาก ตะปุ่มตะป่ำตามหน้าตา และทั้งตัว ผิวหน้าบางที่เป็นรูเข้าไปลึกด้วยซ้ำ วูบแรกที่เห็น ฉันถามตัวเองว่า "เธอจะเจ็บรึเปล่านี่?" เธอจะฉันอยากให้มนุษย์โลกคนอื่น เห็นใจคนที่มีสภาพแบบนี้บ้าง ฉันอยากให้รู้จักพอกันบ้าง ฉันเห็นแล้วเกิดความรู้สึกสงสาร ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ฉันไม่รู้ว่าเธอไปโดนอะไรมา หรือมีใครทำอะไรให้เธอ เธอคงรู้สึกทรมานมากคงทั้งร่างกายแล้วก็จิตใจแน่ๆ

คนที่ไม่รู้จักพอ ฉันว่าถ้ามาเห็นสภาพของเธอคงนี้ เขาคงสะอึกแล้วไม่อยากได้อะไรต่อไปแน่ๆ ชีวิตของเราดีกว่าเธอคนนี้มากมาย โชคดีมากแล้วที่เกิดมาเป็นคนที่สมบูรณ์ โชคดีมากแล้วที่ไม่อยู่ในสภาพพิกลพิการพิการ


เฮ้อ!! ฉันสงสารเธอจริงๆเลย
( ภาพ : Whisper Heart โดย Pino )

Thursday, April 05, 2007

..บ่นกับแมลงปอ..


เจ้าแมลงปอตัวน้อยจ๋า ..
พักนี้ฉันเอียนกับข่าวการเมืองในบ้านเรามากๆ..


ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมมนุษย์เราไม่เคยเปิดใจรับคำว่า "พอเพียง" เอาเสียเลย สักแต่พูดกันเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีใครที่สนองพระราชดำรัสในเรื่องความพอเพียงเอาเสียเลย แต่ละคนมุ่งแต่ที่จะสนองตัณหาหรือความต้องการของตนเองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวงการไหน


ทำไม...ไม่อยู่กันอย่างสงบๆ ทำไมไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี หรือว่า หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ ฟาดฟันกันเอง ต้องมีการตายกันไปข้างหนึ่งหรืออย่างไร


ฉันเคยได้ยินพระท่านว่า "ความสุขที่เหนือกว่าความสงบเป็นไม่มี" เป็นจริงตามนั้น แท้ที่จริงแล้วสุดท้าย คนเราต้องการความสงบทั้งนั้น ตัวฉันเองยังชอบเวลาที่เป็นเวลานอนหลับมากที่สุดเลย บางคนอาจจะชอบภารกิจอื่นๆ ซึ่งหลายคนก็ลืมไปว่า หลายกิจกรรม เป็นความสุขใจเพียงประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ค่อยอะไรที่เป็นความสุขใจที่จีรัง ปราชญ์บางท่านบอกว่า เหมือนความสุขของคนสลึมสลือ ตอนแรกฉันก็คงว่าอะไรเป็นความสุขของคนสลึมสลือ แต่พอรู้แล้ว มันเป็นอย่างที่ปราชญ์ท่านว่าไว้จริงๆ


เมื่อไรจะมีสงบเกิดขึ้นเสียทีบนโลกใบนี้ หรือว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เสียแล้ว


อนิจจัง วัฏสังขารา ชีวิตไม่ใช่เรื่องจีรัง แล้วมนุษย์จะเอาอะไรกันนักหนา


ใช่ไหมเจ้าแมลงปอสีส้ม !!
( ภาพ : Among Friends โดย Inessa Garmesh )

Wednesday, April 04, 2007

..ผ่านไปเป็นปี..


ไม่น่าเชื่อว่าเข้าๆออกๆบ้านหลังนี้มาเป็นปีแล้ว ..


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจริงๆ บ้านหลังนี้ดูสวยงาม วันที่ย้ายมาที่นี่วันแรก เป็นวันที่ตื่นเต้นกับการแต่งบ้านมาก สีเขียวเป็นสีที่ฉันเลือกเอง เป็นสีที่ดูสบายตา จับแมลงปอมาบินเล่นโฉบไปโฉบมา เอาเพลงมาเปิด เปลี่ยนเพลงนั้นเป็นเพลงนี้ kitaro ก็เคยนำมาบรรเลงที่นี่ แต่ไปๆมาๆ สุดท้ายลงเอยกับเพลง The whiter shade of pale จนได้


บ้านหลังนี้เหมือนที่สำหรับพักร้อน บ้านตากอากาศ ไม่ได้เข้ามาทุกวัน แต่แวะมาเรื่อยๆ บ้านหลังนี้มีความทรงจำอยู่ แน่นอน เป็นความทรงจำสืบเนื่องมาจากบ้านหลังโน้น


ฉันกำลังนึกอยู่ว่ารู้จักที่นี่ได้อย่างไร รู้จักที่โน่นได้อย่างไร ที่นี่ฉันรู้จักผ่านบ้านของคุณน้ำอบ น่าสนใจดีสำหรับหมู่บ้านนี้ ฉันเลยตกลงมาปลูกบ้านอีกหลังซะเลย หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านจัดสรร มีแบบให้เลือกหลากหลาย ฉันรักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ ฉัจึงเลือกแบบนี้
ฉันพอใจทำให้บ้านของฉันหลังนี้อยู่แบบเงียบๆ เพื่อนบ้านที่นี่ไม่ค่อยไปมาหากันเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะ สาเหตุที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ นั่นไม่ใช่ปัญหาสำคัญสำหรับฉันเท่าไรนัก วันไหนฉันอยากได้ความสงบ ฉันก็จะมาที่นี่ อาจจะมาปัดกวาดเช็ดถู ไม่ปล่อยให้รกร้าง นอกจากนั้นฉันก็ตกแต่งประดับประดา ให้บ้านน่าอยู่ ไม่มีเหตุผลมากมายนัก นอกจาก ...

ฉันรักบ้านหลังนี้เช่นกันค่ะ
หมายเหตุ : รูปภาพน่ารักๆ จากบ้านคุณอ้อม ณ MBlog ค่ะ