Friday, June 30, 2006

..เรื่องของเด็ก..


ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตกอยู่ทุกวี่ทุกวัน ..

ทุกปี ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงกรกฎาคม มีคนป่วยกันเยอะ ยิ่งคนที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงยิ่งแล้ว พออากาศเปลี่ยน โรคระบบทางเดินหายใจมักจะมาเยือนเป็นนิจศีล ดังนั้นช่วงหน้าฝนแบบนี้นี่แหละ ที่ทางโรงพยาบาลมักจะไม่ค่อยมีเตียงว่างสำหรับคนป่วย

โดยเฉพาะคนไข้เด็กค่ะ เด็กจะป่วยกันเยอะมาก เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาทุกปี เวลาหอผู้ป่วยกุมารเวชไม่มีเตียงว่างพอที่จะรับเด็กป่วยได้ ดังนั้นหอผู้ป่วยอื่นๆ ที่มีเตียงว่างจำเป็นต้องรับคนไข้ประเภทนี้ไปโดยไม่มีทางเลี่ยง

หอผู้ป่วย หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า วอร์ด (Ward) นั่นแหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ วอร์ดที่ดิฉันทำงานอยู่ก็เป็นวอร์ดหนึ่งในโรงพยาบาล จำเป็นต้องจัดเตรียมห้อง จัดเตรียมเตียงไว้เพื่อรองรับคนไข้ที่เป็นเด็กตัวเล็กๆพวกนี้

เด็กทุกคนน่ารักแน่นอนค่ะ เวลาสบายดี แต่พอเวลาเด็กป่วยสิคะ โห!! ร้องกระจองอแง ไม่เอาอะไรเลย บางคนพ่อแม่เอาไม่อยู่ด้วยซ้ำ หากเด็กป่วย แล้วเบื่ออาหาร หรือไม่ก็รับประทานอาหารไม่ได้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมื่อคุณหมอพิจารณาดูแล้วว่า ได้รับสารน้ำและอาหารไม่พอต่อความต้องการของร่างกาย ล่ะก้อ คุณหมอมักจะพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือด หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “น้ำเกลือ” นั่นแหละค่ะ

คุณเอ้ย!! เวลาเด็กถูกจิ้มเข็มเพื่อจะให้น้ำเกลือเนี่ยนะ เสียงเด็กจะกรี๊ดๆ สนั่นลั่นพื้นที่ ส่วนคนที่จะแทงเข็มให้น้ำเกลือสำหรับเด็กตัวเล็กๆได้นั้น ก็จะเป็นพยาบาลผู้ชำนาญการทางด้านนี้โดยเฉพาะ ดิฉันหมายถึง พยาบาลที่ชำนาญในการดูแลเด็กนะคะ ส่วนดิฉันไม่สามารถหรอกค่ะ

เด็กกับผู้ใหญ่ กรรมวิธีการให้น้ำเกลือนั้น ขั้นตอนอาจจะคล้ายๆกัน แต่สำหรับเด็กตัวน้อยนั้น ที่ไม่เหมือนก็คือ ต้องมีคนจับให้เด็กอยู่นิ่งๆ หรือไม่ก็คอยพันผ้าบริเวณแขน เพื่อไม่ให้เด็กดิ้น มิฉะนั้นเข็มอาจจะออกนอกเส้นเลือดได้ ยังค่ะ ยังไม่พอ หลังจากนั้น ต้องยึดให้เข็มอยู่กับที่ เลยต้องเอาไม้มาดามแขนแล้วเอาผ้าก๊อสบางๆพันไว้ เด็กที่ป่วยด้วยโรงระบบทางเดินหายใจ โดยมากคุณหมอมักจะให้พ่นยา เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง บางคนเสมหะเยอะ ต้องให้แผนกกายภาพมาตบหลัง (เขาจะมีวิธีการตบเบาๆ ใช้อุ้งมือนี่แหละค่ะ) เพื่อให้เสมหะหลุดออกมาจากทางเดินหายใจ จะได้ขับออกได้สะดวก

ลำบากค่ะ เวลาจะพ่นยาให้เด็ก บางครั้งต้องหลอกล่อว่าเป็นหน้ากาก ไอ้มดแดง แต่เด็กบางคนก็ไม่ยอมเชื่อ มีอยู่ปีหนึ่งดิฉันลองใช้หน้ากากที่พ่นยามาใส่ที่หน้าของดิฉันให้เด็กดู ด้วยความหวังดี เด็กจะได้ไม่กลัว ไม่กลัวจริงๆ แต่ที่ร้ายก็คือ ดิฉันน่ะติดไข้หวัดใหญ่จากเด็กคนที่ดิฉันไปหลอกล่อน่ะสิคะ ไม่สบายไปหลายวันเลย แย่จริงๆ ต่อไปเลยต้องระวังมากยิ่งขึ้น

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเด็กป่วยคนหนึ่งมานอนป่วยอยู่ที่วอร์ดที่ดิฉันทำงานนี่แหละค่ะ พอถึงเวลาพ่นยา หรือฉีดยา เด็กคนนี้ก็จะร้องไห้ เล่านิทานให้ฟังก็ไม่ยอมฟัง จนดิฉันเหนื่อยใจ ให้เพื่อนดิฉันเข้าไปแทน เพื่อนดิฉันคนนี้มีลูกแล้ว และลูกชายของเธอ ก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กคนนี้ เธอหลอกล่อเด็กจนได้ เด็กยอมให้เธออุ้มเล่น (เพื่อนคนนี้ ปกติก็ดุเหมือนกัน) จนดิฉันงง จนดิฉันมานั่ง คิดอะไรเล่นๆ ประเด็นที่มันเกี่ยวข้องกับคุณสี่ขา

คุณผู้อ่าน เคยเลี้ยงสุนัขกันมั้ยคะ ปกติคนเคยเลี้ยงหมาจะไม่ค่อยกลัวหมาเท่าไรนัก แต่คนที่ไม่เคยสัมผัสก็จะกลัวมากๆ แล้วหมาก็จะเห่าคนที่ไม่เคยเลี้ยงด้วย

มีคนเคยบอกว่า สุนัขมันจะได้กลิ่น ของสุนัขที่เราเคยอุ้ม เคยสัมผัส ติดอยู่ที่ตัวเรา (ทั้งๆที่เราอาบน้ำสะอาดแล้วนะ อิอิ) หรือว่า สัญชาตญาณของเด็กจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าคนๆไหน เคยมีลูกหรือเคยเลี้ยงเด็กแล้ว เด็กก็จะไม่กลัว เหมือนสถานการณ์ที่ดิฉันเล่ามาให้อ่าน แปลกดีนะคะ

เอ!! หรือว่าดิฉันหน้าดุ จนเด็กกลัว อิอิอิ ..


( ภาพ : The Room For Mammy And Small Girls โดย Larsson Carl )

Monday, June 26, 2006

..Artificial Kingdom..

เมื่อเสาร์ที่แล้ว หลายคนน่าจะจำได้ว่า ฝนตกหนักมาก ..

แทนที่จะนอนสบายๆ ดิฉันกลับหาเรื่องออกไปข้างนอกจนได้ นึกยังไงไม่รู้ อยากไป Central World Plaza ( หรือ เดิมที่เคยเป็น World Trade Plaza นั่นแหละค่ะ )

ผ่านไปผ่านมาเป็นประจำ แต่ไม่ได้เข้าไปสักที เชื่อไหมคะว่าไปที่นั่น ไม่ถึงสิบครั้ง จำได้รางๆ ว่าชอบสินค้าใน อิเซตันมาก เบื่อที่อื่นแล้ว ครั้งนี้เลยขอเข้าไปที่นั่นดูหน่อย เห็นว่า กำลังปรับปรุง ขยายใหญ่โต แข่งกับห้างสรรพสินค้า อีกห้างหนึ่งที่ อยู่ไม่ไกลกันนัก ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะไป เพราะเกรงว่าจะหาที่จอดรถยาก เนื่องจากเป็นวันหยุด เป็นที่ทราบดีกว่า วันหยุดไม่ว่าวันใดก็ตาม คนเรามักจะแห่ไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือ Artificial Kingdom นี่แหละ เกรงว่าจะหงุดหงิดกับการแย่งที่จอดรถด้วย

เป็นที่ทราบดีว่าที่ Central World Plaza แห่งนี้ เขาทำชั้นใต้ดินไว้เป็นที่จอดรถ ค่อยยังชั่วค่ะ วันที่ไปผู้คนคงนอนอยู่ที่บ้าน ที่จอดรถเลยหาได้ไม่ยากนัก ช่วงที่ไป เขาปรับปรุงห้างกันอยู่เลยงงกับเส้นทางเล็กน้อย แต่ก็หาทางไปจนได้ เมื่อมาที่นี่ดิฉันนึกถึง TK Park ขึ้นมาค่ะ เนื่องจากดูทาง ทีวี หลายต่อหลายหนที่เห็นทางทีวี อยากเห็นกับตาสักครั้ง ไหนๆก็มาแล้ว ขอไปดูหน่อยเถอะ

เมื่อเอ่ยถึง TK Park หลายคนคงจะนึกว่าเป็นท่าสำหรับเด็กๆแน่ๆ ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ขอเดินไปเยี่ยมๆมองๆหน่อย กว่าจะหาทางเข้าได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร เมื่อก่อนเห็นบอกว่าอยู่ชั้นที่ 6 มาวันนี้ย้ายไปอยู่ชั้น 8 แล้ว

พอไปถึงที่นั่นแล้ว โอ!! ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เยอะแยะไปหมด มีที่ปีนป่ายสำหรับเด็ก และสามารถขึ้นไปอ่านหนังสือตรงบล้อกที่ปีนขึ้นไปได้ด้วย ข้างล่างจะมีเบาะรองรับ จะไปนั่งไปนอนอ่านหนังสือที่เบาะก็ได้ วันนั้นที่นั่นยังจัดนิทรรศการ คีตราชันย์ อยู่พอดี มีคุณ โก้ Mr.Saxman มาเป่า saxophone ให้ฟังด้วย เพราะเชียว เป็นที่น่าเสียดายเพราะ ตอนที่ไป ดนตรีใกล้จนจบแล้ว

ที่นั่นมีห้องสมุดดนตรี มีคอมพิวเตอร์ เยอะแยะให้เล่น เสียงบริเวณนั้น ก็ไม่เบานักหรอกค่ะ ดิฉันว่า ห้องสมุดทั่วไปมักจะมีบรรยากาศเครียดๆ จริงๆมันก็เป็นสถานที่ๆเหมาะกับการอ่านหนังสือนะคะ แต่ถ้านั่งอ่านนานๆ เกรงว่าจะหลังขดหลังแข็งได้ ดิฉันว่า TK Park นี่แหละค่ะ เป็นห้องสมุดในอุดมคติของดิฉันลเยแหละ เพราะถ้าดิฉันต้องการอ่านหนังสือในห้องเงียบๆที่นั่นก็มีให้เลือกนั่ง อ้อ!! มีหนังสือสำหรับคนตาบอดด้วยนะคะ ดีจังเลย

ดิฉันไปกับคนใกล้ตัว พวกเราเดินดูรอบๆ สักพัก ก็กลับ เพราะใกล้เวลาปิดแล้ว ลืมบอกไปว่า เปิดบริการ 10.00 น และปิด 18.00 น. เห็นบอกว่า เดือนหน้าจะปิด ทุ่มหรือสองทุ่มแล้วมั้งคะ (ต้องตรวจสอบเวลาที่แน่นอนอีกที)

ปกติแล้ว ดิฉันชอบไปที่สวนรถไฟค่ะ แต่ถ้าฝนตกแบบนี้เห็นทีจะไปที่สวนไม่ไหวเสียแล้ว ต่อไปนี้มีที่ไปแล้วค่ะ หากไม่ต้องการอยู่กับที่ ก็ขอไป Artificial Kingdom แห่งนี้ดีกว่าดูท่าทาง น่าสนใจดี ช่วงนี้อาจจะทุกลักทุเลหน่อย เพราะ ที่นั่นยังไม่เข้าที่เข้าทาง เขาปรับปรุงห้างอยู่ รออีกสักระยะ รอให้อะไรๆ ในห้างลงตัวเสียก่อนน่าจะดีกว่านี้

ใครสนใจที่จะไป TK Park อย่าลืมพกบัตรประชาชนไปด้วยนะคะ แลกกับบัตรผ่านประตูเข้าไป เสียค่ามัดจำบัตร 20 บาท หากใครต้องการเป็นสมาชิกรายปี ก็ 100 บาทค่ะ

( ภาพ : Calm Morning โดย Benson Frank Weston )

Sunday, June 25, 2006

..วัฏจักร..


ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก
จำเป็นต้องตก เพราะว่ากบมันร้อง

กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง
จำเป็นต้องร้อง เพราะว่าท้องมันปวด

ท้องเอยทำไมจึงปวด ท้องเอยทำไมจึงปวด
จำเป็นต้องปวดเพราะว่าข้าวมันดิบ

ข้าวเอยทำไมจึงดิบ ข้าวเอยทำไมจึงดิบ
จำเป็นต้องดิบ เพราะว่าฝนมันตก

ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก
............................

เมื่อวานฝนตกหนักมาก ตกนานเสียด้วยสิ ขับรถต่อไปไม่ได้ เลยจอดร ข้างทางแล้วนั่งร้อง เพลง นี้อยู่ในรถเพลินๆ

เมื่อก่อนไม่เคยมานั่งคิดว่า เค้าแต่งเพลงนี้ขึ้นมาทำไม ให้เด็กร้องเล่นๆ .... เพลินๆ ?!!?

แต่พอมาวันนี้ จึงได้รู้ว่า เพลงนี้แต่งขึ้นเพื่อให้รู้ว่า ….


ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่เป็นวัฏจักรทั้งสิ้น ..


( ภาพ : Two Boys โดย Benson Frank Weston )

Friday, June 23, 2006

..ไม่ปกติ..


เมื่อค่ำวันก่อนน้องที่ทำงานบอกว่า มีเพื่อนผู้ชายมาถามหาดิฉัน ..

ดิฉันเห็นข้อความในกระดาษที่เขาคนนั้นฝากไว้ให้ดิฉัน บอกว่าเขาจะมาหาดิฉันอีก น้องที่รับข้อความรวมทั้งพี่ๆน้องๆและคนอื่นๆ ในอยู่ในเหตุการณ์วันที่ เพื่อนคนนี้มาถามหาดิฉันต่างก็บอกว่า ผู้ชายคนนี้นิสัยแย่มาก มาเคาะกระจกตรงเคาน์เตอร์ ถามหาดิฉัน พร้อมกับแสดงมายาทที่แย่มาก ดิฉันก็งงล่ะสิ ว่าเขาคนนี้มาทำไม

น้องๆบอกว่า เขาถามถึงตารางเวรของดิฉันว่าจะมาทำงานอีกเมื่อไร วันไหนอยู่เวรเช้าบ้าง น้องก็ไม่ได้ให้ตารางเวรของดิฉันไป เขาคนนี้ก็ขอเบอร์โทรศัพท์ ด้วยความเป็นห่วง น้องๆพวกนี้จึงไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของดิฉันไป เขาจึงฝากข้อความดังกล่าวไว้ และบอกว่าจะมาอีก และน้องๆ ยังบอกให้ดิฉันระวังตัว

วันรุ่งขึ้น นายคนนี้มาเจอดิฉันอีกจนได้

ตอนนั้นมีเพื่อนร่วมงานอยู่หลายคน ดิฉันเปิดประตูเคาน์เตอร์ออกไป แต่ยังยืนคาประตู ไมได้ออกไปคุยกับเขาข้างนอก ดิฉันถามเขาว่า “ มีธุระอะไรกับเรา ? ” เขาบอกว่า “แวะมาหาเฉยๆ ” ดิฉันตำหนิเขาว่า ทำไมทำกริยาไม่สุภาพกับน้องๆที่ทำงานของดิฉัน เขาบอกว่าน้องเข้าใจผิด ดิฉันบอกว่า บอกอย่างนี้กันหลายคน และ ดิฉันบอกว่า ไม่มีเวลาคุย มีงานต้องทำ

เขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถามหาข้อความที่เขาฝากไว้ว่าดิฉันได้รับหรือไม่ ดิฉันตอบว่า ได้รับแล้ว ที่แปลกคือ เขาถามอีกว่า แล้วดิฉันล่ะ จะฝากข้อความถึงเขารึเปล่า? ดิฉันเป็นงงสิคะ มาเจอตัวแล้วจะเอาข้อความอะไรอีก? ดิฉันเลยบอกว่าจะทำงาน ยังค่ะ เขายังไม่กลับ เขาขอเบอร์โทรศัพท์ ดิฉันเลยบอกว่า “ไม่ให้” เขาบอกว่าไม่เป็นไร และเขาก็กลับไป

ท่านผู้อ่านคงคิดว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นแฟนดิฉันมาก่อน เปล่าเลยค่ะ เราไม่ได้สนิทสนมกัน ขอเล่าก่อนว่า ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อน เรารู้จักกันเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ดิฉันเรียนอยู่ เขามาแข่งกีฬา 8 Gear สมัยนั้น ม.เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเรียนอยู่สถาบันเดียวกับเขา และไปแข่งขันกีฬาที่นั่น พวกเราแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักกัน

ตอนนั้นดิฉันและเพื่อนๆ พาเพื่อนต่างสถาบันไปเที่ยวเชียงใหม่ พวกเราไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ด้วยซ้ำ มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม มาก้อร่อก้อติกกับดิฉัน จนเพื่อนๆในกลุ่มล้อ ดิฉันไม่ชอบเลยปฏิเสธไป และเขาคนนั้นก็ไม่มาวอแวอีก เขาคนนั้นก็ไม่ใช่ผู้ชายคนที่ดิฉันเล่า และผู้ชายคนที่ดิฉันเล่านี้ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับดิฉันในตอนนั้นเลย

ในเวลาต่อมา หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานทำการของตัวเองแล้ว วันหนึ่งดิฉันก็ได้รับการติดต่อจากผู้ชายคนนี้มาเรื่อยๆ แต่ที่บอกว่าเรื่อยๆนั้น ดิฉันก็ไม่ได้คุยอะไรกับเขา โทรศัพท์มา ดิฉันก็ขอตัวไปทำงาน อ้างว่าไม่ว่าง หรือไม่ก็ปฏิเสธการรับสายจากเขาทุกครั้งร่ำไป ครั้งหนึ่งที่เขาเคยเอากุหลาบช่อใหญ่มาให้ดิฉันถึงที่ทำงาน ดิฉันถามว่าให้เนื่องในโอกาสอะไร และพร้อมกับตำหนิไปด้วย เขาเคยโทรมาหาตอนที่ดิฉันไปทานอาหารค่ำกับแฟน (คนเก่า) ดิฉันก็บอกไปตามตรงว่าดิฉันทานข้าวกับแฟนอยู่

ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่ตอแยแล้วล่ะค่ะ และถ้าดิฉันเป็นคนๆนี้ดิฉันก็คงไม่ตอแยแล้ว แต่เขาก็ยังคงติดต่อดิฉันเข้ามาอีกเรื่อยๆ จนครั้งหนึ่งไม่นานมานี้เอง เขามาหาถึงที่ทำงานอีก ถามว่าดิฉันใกล้จะแต่งงานหรือยัง ดิฉันโกหกไปว่า ใกล้แล้ว นึกว่าเขาจะเลิกติดต่อกับดิฉันแล้วเสียอีก เมื่อเจอไม้นั้นเข้าไป แต่ที่ไหนได้ ยังมาอีก

เขาคงไม่ปกติแน่ๆ จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร น่ากลัว ก็น่ากลัว เพื่อนที่ทำงานบอกว่า เคยเจอแต่พวกโรคจิตที่ตามดารา แต่ดิฉันไม่ใช่ดารานี่คะ

ไม่รู้จะทำยังไงดี เฮ้อ!! ..


( ภาพ : Summer โดย Benson Frank Weston )

Thursday, June 22, 2006

..จังหวะชีวิต..


แม่เคยสอนว่า “เราเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง”

หลายคนก็คงเคยถูกสอนแบบนี้ ดิฉันถูกสอนบวกกับถูกว่าในหลายต่อหลายครั้ง ความประทับใจในวัยเด็กเรายังจำได้ดี

เนื่องจากแม่มีลูกหลายคน ดิฉันเป็นพี่คนโต มีน้องสาวหนึ่งคนและน้องชายอีกสองคน ในวัยที่ไล่เลี่ยกัน แต่ละวัน เหมือนการจับปูใส่กระด้งค่ะ พวกเราจะสนิทสนมกันเป็นคู่ๆ แปลกที่ว่าดิฉันมักจะทะเลาะกับน้องชายคนเล็กเสมอ อายุของเราห่างกับเกือบๆ 5ปีค่ะ แต่ดิฉันเป็นพี่ประเภทที่ว่าไม่ค่อยยอมน้อง

สมัยนั้นคุณยายยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม อายุแต่ละคนก็ไม่กี่ขวบเอง จำได้ว่า เล่นตุ๊กตาล้มลุกกันอยู่มั้งคะ แต่ไปๆมาๆยังไงไม่รู้ น้องชายคนเล็กนี่แหละที่แย่งเอาตุ๊กตาล้มลุกไป ดิฉันโมโห โยนตุ๊กตาลงกับพื้นจนตุ๊กตาแตกเป็นเสี่ยงๆ คุณยายก็ดุดิฉันสิคะ บอกว่าเป็นพี่ ไม่ยอมเสียสละให้น้อง ว่าแล้วก็เดินกระทืบเท้าออกจากบ้าน (ดูสิ ไม่ยอมใครและเอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่เด็กเลย )

เป็นพี่นี่ต้องเสียสละจริงๆนะคะ ความที่อาวุโสกว่าเรียกได้ว่า ควรที่จะมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า ซึ่งในเรื่องชิวตประจำวันในทุกวันนี้ หรือแม้แต่ชีวิตการทำงานก็เช่นกัน คนที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่มากกว่า ความรับผิดชอบมันก็ต้องมากเป็นเงาตามตัวด้วย ขอให้ทำใจไว้เลยค่ะ

เรื่องความรับผิดชอบเนี่ย บางเหตุการณ์เราไม่ได้ทำความผิดด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีสมาชิกในทีมของเราทำผิด เรื่องมันต้องขึ้นตรงต่อตัวเรา แต่เรานี่แหละต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบไปโดยปริยาย บางครั้งก็น่าเบื่อเหมือนกันนะคะ คนที่รับหน้า คนที่ถูกตำหนิ คนที่ต้องกล่าวขอโทษก็ต้องเป็นตัวเรานี่แหละ

สัปดาห์นี้เจอมาหลายเหตุการณ์ที่ตัวดิฉันเองต้องมานั่งรับผิดชอบ การที่รับผิดชอบนี้บางครั้งก็ถูกตำหนิแรงๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ หนังหน้าไฟ ทำได้ก็คือทำใจอีกแล้ว โชคดีที่มีคนคอยให้กำลังใจ ถ้าไม่มีคนๆนี้ดิฉันคงหมดกำลังใจเหมือนกัน

การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในงานไหน องค์กรใด ดิฉันว่ายิ่งอยู่ ยิ่งทำงาน มันยิ่งจะยากขึ้นทุกวี่ทุกวัน การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน ยิ่งอยู่ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นจังหวะชีวิตก็ได้ ที่ช่วงนี้ได้พบได้เจอกับเรื่องพวกนี้ จังหวะที่มากระทบชีวิตแบบนี้ มันก็บั่นทอนเราเหมือนกันนะคะ หลายครั้งที่ถามตัวเองว่า เมื่อไรจังหวะแบบนี้มันจะสิ้นสุดลงเสียที คำถามแบบนี้ ไม่มีใครที่ตอบได้ แม้กระทั่งตัวเอง ตัวเราระวังแล้ว แต่มันก็เกิดขึ้นอีก โดยที่ตัวเราไม่ได้กระทำ แต่ต้องมานั่งรับหน้าในสิ่งที่ผู้อื่นสร้างเรื่องไว้ ทำให้ต้องมานั่งหวาดระแวง เวลาจะก้าวเท้าออกจากบ้าน ว่าวันนี้จะต้องพบจะต้องเจอกับอะไรอีกหนอ?

บอกตัวเองว่า เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง เหมือนพายุ เหมือน ฝน เมื่อฝนซา ฟ้าก็ใส

แต่ตอนนี้เริ่ม หมดแรง ไม่รู้เมื่อไร ฟ้าจะใส เมื่อไรพายุจะหมด เตรียมรับพายุต่อไปอย่างระแวดระวัง

นี่และหนา จังหวะชีวิตของคน



( ภาพ : Hilltop โดย Benson Frank Weston )

Wednesday, June 21, 2006

..คริสต์มาสที่ถูกลืม..


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ..

มีเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งที่น่าจดจำกันไว้ แต่น่าแปลกที่มันกลับไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าจดจำกันเท่านั้น หากแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักว่า มันเคยเกิดขึ้นบนโลกนี้มาก่อน

ในปี 1915 เป็นปีใหม่และคริสต์มาสที่น่าเศร้า ก่อนหน้านั้นมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น และพรากชีวิตผู้คนไปนับล้านคน โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

สิงหาคม 1914
5 เดือนก่อนวันคริสต์มาสจะมาถึง ทหารเยอรมัน และทหารอังกฤษโรมรันกันที่ประเทศเบลเยี่ยม ไม่มีใครคิดว่าเอาชนะใครได้ สายฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นระยะๆนั้น ทำให้หลุมเพละในสมรภูมิในสมรภูมิเล็กๆ แห่งนั้นกลายเป็นคูน้ำ ที่ตายก็ตายไป ที่เหลืออยู่ก็สู้กันไป ซากศพของ 2 ฝ่ายเกลื่อนปฐพี ไม่มีโอกาสได้กลบฝัง

4 เดือนผ่านไป หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา
ท่ามกลางงความเงียบเชียบของคืนวันคริสตมาสอีฟ ความมหัศจรรย์บางอย่างก็เผยตัวออกมา..

ท่ามกลางความสงัด ไม่มีเสียงอื่นใดเว้นแต่เสียงหิมะ โรยตัวลงมานั่นเอง จู่ๆ ทหารอังกฤษก็ได้ยินเสียงเพลงคริสต์มาสลอยตามลมมา เสียงนั้นกังวานและมีมนต์อันประหลาด “มันกังวานไปทั่ว ตรึงทุกคนและหลอมละลายความรู้สึกที่ถูกกักขังไว้ด้วยความมืดมนอนธนาการนั้นออกมาจนหมดสิ้น เมื่อใครสักคนเริ่มขึ้น ทหารอังกฤษหลายคนก็พากันเปล่งเสียง เพลงคริสต์มาสในภาษาอังกฤษขึ้นมาบ้าง สองฝ่ายร้องสลับกันไปกันมา ราวจะแข่งกัน ไม่นานก็มีแสงไฟวับๆแวมๆ เคลื่อนเข้าหากัน..” ( สารคดีประวัติศาสตร์-ยูบีซี )

แสงไฟนั้น มาพร้อมกับต้นคริสตมาส ซึ่งต่อมาต้นคริสต์มาสต้นนั้น ได้ไปปักเด่นอยู่กลางสมรภูมิ

การสู้รบยุติลงชั่วคราว ไม่เพียงทั้งสองฝ่ายออกมาเก็บศพเพื่อนๆ ไปกลบฝัง แต่คนที่รอดชีวิตกลับมาเล่าด้วยว่า พวกเขาเอาเสบียงกรังที่มีอยู่มาแลกเปลี่ยนกันด้วย ทหารเยอรมันเอาซิการ์และเบียร์อันลือชื่อของตัวเองออกมาแลกกับเนื้อวัวของทหารอังกฤษ

ว่ากันว่าบรรยากาศแห่งความสุขได้ปกคลุมไปทั่ว แม้แต่หิมะก็ไม่อาจทนทานมิตรภาพที่ระอุอุ่น พวกเขาได้เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามฟุตบอล คนที่เคยเกลียดชังกันเพียรพยายามที่จะทำลายชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือโกรธเคืองกันมานานหลายเดือนนั่นเอง ได้เปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสนามฟุตบอล

ทหารอังกฤษไว้ลายความเป็นเจ้าตำรับกีฬาลูกหนัง คว้าชัยชนะไป 3 ประตูต่อ 2 ท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น ใช่ว่าจะไม่มีความระแวดระวัง เหล่าผู้บังคับบัญชาของทั้งสอง ฝ่าย ก็วิตกลึกๆ อย่างครามครัน ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าความสัมพันธ์นั้นอาจจะไม่ยั่งยืน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีใครจะจะหยุดยั้งมันได้

เมื่อแดดออกดอกไม้ก็บาน
แต่ความสุขที่ไหนๆ มันก็จะผ่านไปเร็วเสมอ ในที่สุด คำสั่งให้โจมตีของหน่วยเหนือก็ตกมาถึง ต่างฝ่ายต่างกลับเข้าที่ตั้ง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นการสู้รบที่น่าดูชมที่สุดในโลก เพราะต่างฝ่ายต่างยิงข้ามหัวกันไปมา เล่ากันว่า “ มันเป็นการโจมตีที่สักแต่โจมตี ไม่มีใครอยากเอาชีวิตใคร เพราะพวกเขาเห็นแล้วว่า สงครามเป็นเรื่องที่โง่เขลา ”

เมื่อมิตรภาพได้แตกกล้าออกมา กระสุนและระเบิดชนิดใดๆก็ไม่อาจจะทำลายมันลงได้

การสู้รบอันแปลกประหลาดนี้ดำเนินไปได้ไม่นาน เรื่องรู้ถึงผู้บังคับบัญชา พวเขาตัดสินใจสับเปลี่ยกองทหาร เมื่อทหารใหม่มาถึง วิถีกระสุนที่เคยโด่งข้ามหัวก็ถูกกดต่ำลงมา มนต์ขลังแห่งคริสต์มาสในแนวรบปี 1915 ก็สิ้นสุดลง

เรื่องโง่ๆดำเนินต่อไป เมื่อมหาสงครามยุติลง มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน ..

ที่มา : จากเรื่อง คริสต์มาสที่ถูกลืม หนังสือ คลื่นข้างใน หน้า 149 เขียนโดย กระบี่ไม้ไผ่


( ภาพ : Bend In The Road โดย Campamelli Dan)

Monday, June 19, 2006

..โกรธคือโง่ โมโห คือบ้า..

หลายเดือนก่อนที่แผนกดิฉันรับคนไข้ผู้ชายมาคนหนึ่งค่ะ

ปกติแล้วแผนกที่ดิฉันดูแลอยู่เนี่ย มีแต่คนไข้ผู้หญิง เนื่องจากที่แผนกมีห้อง VIP ว่างอยู่ คนไข้คนนี้เลยได้มาอยู่ที่นี่ เป็นกรณีพิเศษ

คนไข้คนนี้ เกษียณอายุจากงานแล้ว แต่เดิมเคยทำงานระดับผู้บริหารจากองค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง ปกติแล้วจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ค่อยข้างจุกจิกจู้จี้ขี้หงุดงหิดและมักจะ ค้นหาข้อบกพร่องของคนอื่นอยู่ร่ำไป ญาติๆของคนไข้จะเข้าใจค่ะ เพราะได้สัมผัสคนไข้คนนี้เป็นประจำ เป็นนิสัยประจำตัวอยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นตอนที่เข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล

เวลาใครจะเข้าไปดูแลคนไข้คนนี้ จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม พร้อมแล้วพร้อมอีก บางคนถึงขนาดเกร็ง ไม่กล้าเข้าใกล้ โปรดนึกภาพเอาเองนะคะว่า เวลาสุนัขดุๆ น่ะ เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เหมือนกันเลยค่ะ

ดิฉันเองก็เหมือนกัน เรื่องเล็กๆน้อยๆของหลายๆคน ดิฉันมักจะไม่ค่อยมองข้าม จะว่าเป็นคุณนายละเอียดก็ไม่เชิง เพราะไม่ได้ละเอียดไปทุกเรื่อง ดิฉันมักจะทนพฤติกรรมที่มนุษย์บางคนสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอีกหลายคนไม่ได้ หรือไม่ก็ทนไม่ได้กับพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว และมักง่ายของคนไม่ได้อีกเหมือนกัน

แทบทุกครั้งเวลานั่งหลังพวงมาลัยรถ หลายเหตุการณ์มักจะทำให้ดิฉันหงุดหงิดได้เสมอ บ่อยครั้งที่ขับรถไปและนั่งสนทนากับคนข้างๆอย่างอารมณ์ดี แต่พอมีเหตุการณ์ที่รถคันอื่นมาทำให้หงุดหงิดละก้อ อารมณ์ดิฉันเปลี่ยนทุกครั้ง จากอารมณ์ดีก็กลับอารมณ์เสีย บ่อยครั้งก็มาลงกับรถ แทนที่จะขับรถดีๆ พฤติกรรมการขับรถก็กลายเป็นกระชากบ้าง เบรคกระทันหันบ้าง หรือไม่ก็ขับไล่คนที่มาทำให้เราหงุดหงิดก็มี

คิดดูแล้ว พฤติกรรมของเราก็อันตรายเหมือนกัน อาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวเองและต่อผู้อื่นด้วยซ้ำ คนขี้หงุดหงิดนี่ ไม่มีใครที่อยากอยู่ใกล้เลยนะคะ ตัวอย่างคนไข้ที่เล่ามา ดิฉันเองก็ไม่อยากอยู่ใกล้ แล้วพฤติกรรม และอารมณ์ของดิฉัน อย่างที่เล่าให้ฟังก็คงไม่มีใครที่อยากอยู่ใกล้เหมือนกัน

นั่งอ่านเรื่องสมาธิของสมาชิก MBlog คนหนึ่งเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ทำให้นึกถึงครั้งที่ตัวเองฝึกทำสมาธิ เชื่อไหมคะว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทำไม่สำเร็จ ยากค่ะ ถ้าหากทำได้ ใจเราคงเย็นลงมาก “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” สิ่งนี้ก็ท่องอยู่ในใจเหมือนกัน แต่พอเกิดสถานการณ์หลายๆอย่างแบบที่เล่ามา สติมันก็แตกค่ะ บ้าทุกทีสิน่า (โชคดีอยู่นิดนึงที่ดิฉันเป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว ) น่าสงสารคนที่อยู่ใกล้ๆเหมือนกันนะคะ นี่ถ้าหงุดหงิดมากขึ้นๆ คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้อีกแน่ๆ

สองสามวันก่อนสิวขึ้นอีกแล้ว บ่อยครั้งที่มือบอน ทนไม่ค่อยได้กับสิ่งที่เห็นบนใบหน้าของเรา และมักจะกดเอง หรือไม่ก็ให้หมอกดออกให้ ไปๆมาๆ บริเวณนั้นก็เป็นรอยดำจนได้ กว่าจะหายก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ครั้งนี้ ลองไม่สนใจสิวเม็ดนั้น ไม่กี่วันสิวก็ยุบลงไปเอง ไม่มีตำหนิให้เห็นด้วย

ลองมาเทียบเรื่องสิวกับพฤติกรรมของตัวเอง ถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ เหมือนเราไม่ใส่ใจสิวบนใบหน้าของเรา อารมณ์เราก็จะไม่ขุ่นมัว คนข้างๆ หรือคนรอบตัวเราก็คงอยากอยู่ใกล้เรามากขึ้น

ขอย้ำอีกนิดว่า “ โกรธคือโง่ โมโห คือบ้า ”


คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนบ้านะคะ


(ภาพ : Afternoon On The Hill โดย Curran Charles Courtney )

Saturday, June 17, 2006

..ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ..

เมื่อวานเห็นสื่อนำเสนอข่าวเรื่องประชาชนแห่ไปรับธนบัตรที่ระลึกงานฉลองสิริราชฯ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาพข่าวนั้นเห็นแถวยาวมาก คนนับหมื่น เห็นแล้วก็ชื่นใจนะคะ ทุกคนรักในหลวง แต่ไม่รู้ว่ารักแต่ปากรึเปล่านะคะ หลายคนจะเห็นว่ามีคนบางพวก บางกลุ่มแสวงผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองอีกแล้วครับท่าน

ธนบัตรที่ระลึกงานฉลองสิริราชสมบัติฯ มูลค่า 60 บาท ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งราคาจำหน่ายไว้ 100 บาท แต่มีพ่อค้าแม่ค้า หัวใส (ใสแบบนี้ ไม่ควรนะคะ) นำไปจำหน่ายต่อในราคาที่สูงกว่าราคาดังกล่าว บางฉบับเลขสวย ราคาพุ่งไปถึง 900 บาทก็มี

อย่างที่เราได้ยิน บางคนได้สัมผัสเองก็มี เสื้อสีเหลืองที่ระลึกในงานฯ เหมือนกัน ปกติแล้วราคาไม่น่าจะเกิน 250 บาท แต่ราคาขายต่อบางช่วงพุ่งไปจนถึง 590 บาทก็มี ไม่รู้จะเรียกคนเห็นแก่ตัวที่เอาเสื้อไปจำหน่ายต่อ แบบนี้ว่าอะไรดี

วันสองวันก่อน ดิฉันเดินไปธนาคารใกล้ๆกับที่ทำงาน เห็นพ่อค้า แม่ค้ายืนขายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ภาพวางอยู่กับพื้นที่พวกเราเดินผ่านไปผ่านมานั่นแหละ แต่พวกพ่อค้าแม่ค้า ยืนค้ำ พระบรมฉายาลักษณ์อยู่ค่ะ

ปกติแล้ว คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ เนี่ย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ นั่ง เราเป็นเด็ก ก็จะไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่นี่พระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รัก ที่เคารพสูงสุด ที่พวกเราเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า แม้แต่ละอองธุลีพระบาทของท่าน พวกเรายังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ แล้วพ่อค้า แม่ค้าเหล่านี้เป็นใคร จริงๆก็คนไทยเหมือนกับเราๆท่านๆ ทำไมพวกเขาไม่คิดกันบ้าง ว่ากระกระทำเช่นนี้มันไม่สมควร ดึงฟ้าลงมาต่ำแท้ๆเชียว

ไม่เฉพาะแค่ที่ดิฉันเห็นค่ะ มีที่อื่นอีกหลายที่เหมือนกัน

รบกวน ผู้ที่รับผิดชอบ ลงมาดูหน่อยเถอะค่ะ

เพราะ การกระทำแบบนี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง


( ภาพ : Summer Sunset โดย Seslar Lin )


Thursday, June 15, 2006

..โต๊ะปิงปองเป็นเหตุ..


เมื่อวานนี้ดิฉันมีโอกาสไปจังหวัดที่ใกล้ๆกรุงเทพ โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ..

ด้วยเหตุที่ว่าต้องไปดูความเสียหายของโต๊ะปิงปองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งค่ะ

คิดว่าท่านผู้อ่านต้องเกิดอาการ งง กันแน่ๆว่า ไปทำอะไรกับโต๊ะปิงปองมา หรือว่าคิดว่าดิฉันไปเล่นปิงปองจนทำให้โต๊ะของเขาเสียหาย เอาล่ะ เล่าให้อ่านดีกว่า

คืองี้ค่ะ ..เมื่อสัปดาห์ก่อน ทางโรงพยาบาลเล็กๆของรัฐแห่งหนึ่ง จัดนิทรรศการเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติฯ คนใกล้ตัวของดิฉัน จำเป็นต้องไปจัดบอร์ดให้ เพราะทางแผนกหนึ่งของทางโรงพยาบาลนั้นเป็นลูกค้ากันอยู่ ดังนั้นหน้าที่โดยตรง เลยต้องบริการจัดบอร์ดให้ถึงที่ (ดิฉันก็เพิ่งทราบนี่แหละค่ะ เพราะ โรงพยาบาลเอกชน ที่ดิฉันทำงานอยู่ ไม่เห็นจะต้องมีบริษัทยา หรือบริษัทจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ไปจัดอะไรพวกนี้ให้เลย )

คุณหมอคนที่มอบหมายบอร์ดให้จัดเนี่ย ท่านเอาโต๊ะปิงปอง มาประยุกต์ให้เป็นบอร์ดค่ะ พ่อแม่พี่น้อง!! โต๊ะปิงปองสีน้ำเงินนี่แหละ พอพับลงมามันก็ดูเหมือนกระดานที่คุณครูใช้สอนเราสมัยเราเป็นเด็กนี่แหละค่ะ ตอนนั้นพวกเราก็งงเหมือนกันว่าทำไมเอาโต๊ะปิงปองมาให้จัด ทั้งๆที่มี white board ยาวๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาให้จัดอันไหน ก็จัดไป ทำงานของเราให้มันเรียบร้อย อ้อ!!วันที่ไปจัดบอร์ด ดิฉันเป็นคนไปช่วยจัดค่ะ ซึ่งวันนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน

อีก 4-5 วันให้หลัง พอนิทรรศการเสร็จสิ้น มีโทรศัพท์มาจากคุณหมอคนนี้ บอกว่าพวกเราไปทำให้โต๊ะปิงปองของทางโรงพยาบาลเสียหาย ต้องรับผิดชอบ เอาล่ะสิ เป็นงงสิคะ แค่จัดบอร์ด เอากระดาษกาวสองหน้าติด ทำไมดูเป็นเรื่องร้ายแรงมาก จัดก็ request ไปจัดให้ พอเสร็จสิ้น เกิดเรื่อง เราก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เรียกว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังต้องเอากระดูกมาแขวนคออีกต่างหาก

เท่านั้นแหละ เย็นวันที่ได้รับข่าว เลิกงานแล้ว พวกเราก็ต้องรีบไปที่โรงพยาบาลที่ว่านี้ทันที คิดดูสิคะ ขับรถจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ฝ่ารถติดไปถึงถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ไปจนถึงพุทธมณฑลสาย....น่ะ ไกลขนาดไหน พอไปถึงโรงพยาบาลแห่งนี้ปรากฏว่า แผนกที่ต้องติดต่อนี้ปิดบริการแล้วค่ะ (แผนกนี้ปิด หกโมงเย็น) ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย มีแต่ รปภ. เดินตรวจตราอยู่ หลายท่านอาจจะถามว่า ทำไมไม่โทรศัพท์มาถามก่อน เชื่อไหมคะว่า โทร.มาแล้ว ไม่มีคนรับสาย (เบอร์โทรที่ได้ ถามจาก 1133)

โชคดีที่ดิฉันใส่ uniform ออกมาเลย รปภ.ของโรงพยาบาลนั้นๆ เลยให้บริการเป็นอย่างดี พาไปดูโต๊ะปิงปองที่พวกเราเคยใช้เป็นบอร์ด พอไปเห็นสภาพแล้ว ทายสิคะว่าเป็นยังไง ? จากที่ได้รับคำร้องเรียนว่า เสียหายมาก เราเห็นแค่รอยของสีถลอกเท่านั้น คิดว่าแค่ซ่อมสี ก็ทำให้โต๊ะใหม่ขึ้นได้แล้ว มีโต๊ะปิงปอง อีกโต๊ะหนึ่งที่ผุอยู่ อยู่บริเวณที่ไม่ห่างกันมากนัก แต่โต๊ะปิงปอง ที่ผุนั้นพวกเราไม่ได้ใช้จัดค่ะ

เท่านั้นล่ะ คนใกล้ตัวของดิฉันเลยโทรศัพท์ติดต่อกับคุณหมอท่านที่โวยวาย ท่านก็คงไม่คิดว่าเราไปถึงที่โรงพยาบาลนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องจะคลี่คลายลงไปแล้ว เพราะในเวลาใกล้ๆกัน ก็เจรจากับผู้ดูแลครุภัณฑ์ของทางโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วด้วย

ตอนแรก เจ้าหน้าที่คนนั้น จะให้บริษัทเทียวไปเทียวมา ด้วยซ้ำเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว เออ!! น้ำมันแถวนั้นคงราคาถูกมั้ง เล่าต่อนะคะ..ปรากฏว่าในวันต่อมา ทีมของโรงพยาบาลนี้ทั้ง คุณหมอท่านดังกล่าว และเจ้าหน้าที่ครุภัณฑ์ ท่านนั้นไม่ยอมฟังท่าเดียว มัดมือชกว่าเราทำโต๊ะปิงปองของเขาผุ และบอกว่าท่านคงไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหายให้ทางโรงพยาบาลได้ด้วย โอ!!พระเจ้า ทำไมพวกเราต้องมาเจอกับคนประเภทนี้ด้วย

แน่นอนว่า บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับโรงพยาบาลนี้ บางครั้งดิฉันมานั่งคิดดูว่าในหลายๆสถานการณ์ และตามกลไกของสังคมสมัยนี้ การค้าขายมักจะมีการแบ่งประเภทของลูกค้าใครมีกำลังซื้อมากและทำตัวเป็นลูกค้าที่ดี ก็จะได้ยกระดับให้เป็นลูกค้าวี ไอ พี แต่กำลังซื้อน้อยก็จะเป็นลูกค้าอีกประเภทหนึ่ง แล้วคิดดูสิคะว่า ในสถานการณ์ดังกล่าว โรงพยาบาลเล็กๆแบบนี้ และทำตัวแบบนี้ สมควรจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าประเภทไหน และควรได้รับการปฏิบัติที่ดีเยี่ยมต่อไปอีกหรือไม่

เชื่อว่าคนในสังคมนี้มีประเภทนี้อยู่เยอะค่ะ แต่ ดิฉันก็ยังเชื่อนะคะว่า ใครทำยังไง เดี๋ยวผลการกระทำก็ย่อมกลับมาสนองคนๆนั้นเอง แต่งานนี้ดิฉันไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแน่นอน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทนี้อยู่แล้ว แต่เห็นการกระทำของคนพวกนี้แล้ว ทนไม่ค่อยไหวค่ะ

เฮ้อ!! อยากได้โต๊ะปิงปองตัวใหม่ ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ..

( ภาพ : Pick Of The Little โดย Rucker Harrison )

Friday, June 09, 2006

..ทั้งชีวิต..

วันนี้ ..

ทำงานตั้งแต่เช้า ..

เดินแทบไม่ได้หยุดพักเลย .. เข้าห้องโน้น ออกห้องนี้...

ห้องคนไข้แต่ละห้อง เปิดทีวี ชมการถ่ายทอดสดที่ลานพระบรมรูปฯ

ฝูงชนไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคน เฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภาพของพระองค์ที่ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่เหล่าพสกนิกรชาวไทย ...

ภาพของของพระองค์ที่ทรงโบกพระหัตถ์..

จนกระทั่ง.. ภาพของพระองค์ที่เสด็จพระราชดำเนินกลับ..

พลัน.. น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ซาบซึ้ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

ชีวิตคนๆ หนึ่ง ที่เกิดมาใต้เบื้องพระยุคลบาท..

รู้สึกคุ้มค่าเหลือเกิน ที่ชีวิตหนึ่งได้ เกิดมาเป็น พสกนิกรของพระองค์ท่าน

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ..

Thursday, June 08, 2006

..ฟองสบู่..


เคยเอาสบู่มาเป่าเล่นกันไหมคะ? ..

เมื่อก่อน ตอนที่หม่าม๊าซักผ้า เด็กๆอย่างพวกเรา ก็มักจะเอาสบู่ หรือผงซักฟอกไปเล่นเป็นลูกโป่งกัน

น่าสนุกนะคะ อะไรๆก็เล่นได้ทั้งนั้นสำหรับเด็ก สมัยก่อน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมาย หาของที่อยู่ใกล้ตัวนั่นแหละ บ่อยครั้งที่ถูกผู้ใหญ่ดุเอา เพราะเกรงว่าของจะเสียหาย ตอนที่เล่นฟองสบู่ไม่ถูกว่าค่ะ เพราะไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากจะเกะกะผู้ใหญ่ ไม่เหมือนน้องชาย ที่มักจะวิ่งไปรอบๆบ้าน เอาไม้ไปตัดต้นไม้รอบๆบ้านซะยับเยินไปหมด ทำอย่างนี้ประจำ คุณยายปากเปียกปากแฉะ แต่ก็ไม่เลิกเล่น พวกเขามักจะเล่นตอนผู้ใหญ่เผลอค่ะ

กลับมาถึงเรื่องฟองสบู่กันดีกว่า เดี๋ยวนี้ดิฉันเห็นเครื่องทำสบู่ให้เป็นฟองด้วยนะคะ อันนี้พูดถึงสบู่จริงๆ ไม่ใช่ฟองสบู่ในสังคมผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆ แฮ่!! ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะแตก

เคยดูรายการญี่ปุ่นรายการหนึ่งที่ ให้คนมาแข่งกันทำฟองสบู่ และไม่ให้แตกด้วยนะคะ ใครที่ทำให้ฟองนั้นอยู่ได้นานและแตกช้าที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ดูแล้วเพลินดีเหมือนกัน บางครั้งต้องตีเป็นปิงปอง และให้ข้ามสิ่งกีดขวางด้วยซ้ำ พวกเราเป็นคนดูอยู่ทางบ้าน ก็ลุ้นจนตัวโก่งสิคะ แต่พอฟองสบู่แตก ก็พากันร้อง...ว๊า !!

เห็นภาพนี้แล้วนึกถึงตอนเป็นเด็กค่ะ เล่นกับฟองสบู่ เพลิดเพลินดีจริงๆ ตอนโตเป็นผู้ใหญ่นี่บางครั้งก็เอาฟองสบู่ (จริงๆ) มาเป่าเล่น เหมือนกัน

ฟองสบู่เป็นสิ่งที่สวยงาม สำหรับสายตาของเด็กๆ แต่ยุคฟองสบู่ ก็อาจจะเป็นยุคที่สวยงามสำหรับผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนอีกเหมือนกัน แต่จะแตกเมือ่ไรนั้น ยังไม่รู้

ทว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก..คุณว่ามั้ย

Tuesday, June 06, 2006

..พาชิม อาหารเวียดนาม..

คราวนี้พาไปชิมอาหารเวียดนามกันดีกว่า ..

หลายคนคงชอบอาหารเวียดนามโดยเฉพาะคุณสาวๆ เพราะผักเยอะ สาวคนไหนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก อาหารเวียดนามนี่แหละ เหมาะเลยค่ะ

ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ อยู่ในซอยอารีย์ (พหลโยธิน 7 ) ถ้ามาจากทางอนุสาวรีย์ให้เลี้ยวซ้ายเข้ามา อีกประมาณ 30 เมตร ก็เลี้ยวซ้ายอีกที ร้านจะอยู่ในซอยนี้เลย ชื่อร้านว่า “หนองคาย” ค่ะ หน้าร้านจะมีแม่ค้ายืนตำส้มตำอยู่ แค่นี้ก็ทำให้ดิฉันน้ำลายสอแล้วล่ะค่ะ

เมื่อก่อนบริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของร้านบะหมี่เกี๊ยว แต่ท่าทางขายไม่ได้เท่าไร หรือไม่ก็หมดสัญญาเช่า ไปๆมาๆ ก็เปลี่ยนเจ้าใหม่ เป็นร้านอาหารอีสานบวกเวียดนาม อย่างที่บอกนี่แหละ

ดิฉันสั่งอาหารในรายการอาหารมาประมาณ 3-4 อย่างค่ะ เพราะไปกันสองคน เกรงว่าจะรับประทานไม่หมด อาหารที่สั่งมารับประทาน ได้แก่ แหนมเนืองชุดเล็ก เส้นหมี่หมูทอด ข้าวเหนียวไก่ทอด แล้วก็ส้มตำไทย

ส้มตำไทย ถูกเสิร์ฟมาเป็นจานแรกค่ะ ส้มตำที่นี่เป็นส้มตำแบบอีสานแท้ๆ เห็นบอกว่า ตำแบบหนองคาย จริงๆ ดิฉันแยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าแต่ละที่ตำส้มตำแตกต่างกันอย่างไร แต่ที่บอกได้คือ ส้มตำร้านนี้ถึงเครื่องถึงรสดีจริงๆ ทั้งๆที่สั่งตำไทย ปกติตำไทยเนี่ย หลายที่จะปรุงรสแบบที่ว่าให้เด็กรับประทาน รสชาติมักจะหวานนำ แต่ที่นี่ ได้ทุกรส ทั้ง เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน (เริ่มจะเช็ดน้ำลายกันแล้วใช่มั่ยล่ะ อิอิ)

ในขณะที่กำลังรับประทานส้มตำจานแรกด้วยความเมามันในรสชาติ จานที่สองก็มาวางอยู่บนโต๊ะเสียแล้ว จานที่ว่านี้คือ ข้าวเหนียวไก่ทอดค่ะ ไม่ใช่ข้าวเหนียวธรรมดา แต่เป็นข้าวเหนียวที่ทำเป็นไส้แป้งที่ถูกม้วนแล้วเอามาทอดให้เหลือง หอม ดูคล้ายกับปอเปี้ยะทอด รับประทานกับไก่ทอดร้อนๆ แล้วก็น้ำจิ้มไก่ อร่อยมากๆ

ต่อมารายการที่สาม นั่นคือ เส้นหมี่หมูทอด หมูทอดที่นี่ เป็นหมูกรอบ ติดมันเล็กน้อย รับประทานกับเส้นหมี่ลวก แล้วก็ตักน้ำจิ้มหวานที่มีแครอทซอย ราดลงไปด้วย โอ!! เขียนไปพลางซับน้ำลายไปด้วยเลยนะคะนั่น รับประทานกับผัก ที่ชอบอาจจะเป็นผักกาดหอม ผักแพรว หรือพวกผักชีฝรั่งก็ยังได้

ยังค่ะ ยังไม่พอ ยังมีเมนูสุดท้าย จริงๆสั่งมาเป็นรายการแรก แต่คนเสิร์ฟคงลืม เลยได้มาเป็นรายการสุดท้าย นั่นคือ แหนมเนือง ไปทานอาหารเวียดนามต้องสั่งเมนูนี้ด้วย ไม่งั้น เหมือนไม่ได้ทานอาหารเวียดนาม ที่นี่ลวกแผ่นแป้งมาให้เรียบร้อย และทำให้แผ่นแป้งไม่ติดกันด้วย รับประทานง่ายค่ะ ส่วนไส้ก็คงเหมือนร้านอื่นๆ น้ำจิ้มรสเด็ดค่ะ จากนั้นรับประทานกับผักที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ ใครใคร่ทานผักชนิดไหนก็เด็ดทานได้เลย หรืออยากจะเอาห่อลงไปด้วย ก็ตามสะดวก แล้วแต่ถนัด

แค่สี่เมนูก็ทำให้อิ่มมากๆแล้วสำหรับสองคน อันที่จริงๆมีอาหารในเมนู อีกมากที่น่าสั่งมารับประทาน แต่ไม่ไหวค่ะ อิ่มเหลือเกิน ไว้วันหลังไปชิมใหม่ เป็นไงคะ อ่านแล้วท้องร้องกันเลยไหมคะ รายการอาหารเวียดนามที่ดิฉันเล่ามา ถ้านึกไม่ออกว่าจะรับประทานอะไรกันดี เย็นนี้แวะไปกันเลยสิคะ ร้าน “หนองคาย”

แล้วคุณจะติดใจ ..


(ภาพ : Boating Bears โดย Wright Cliff )

Monday, June 05, 2006

..Jazz Festival..


เมื่อได้ยินคำว่า “Jazz Festival” แล้วคิดอะไรกันอยู่ ?..

ดิฉันเห็นแล้ว อยากไปสิคะ เห็นหลายคนพูดถึงงานนี้กัน บางคนบอกว่า ไปนั่งฟังเพลงแจ๊ส ริมทะเลตอนพระอาทิตย์ตก หลับตานึกภาพ แล้ว น่าจะเป็นบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติค ว่าแล้ววันเสาร์ที่ผ่านมา ดิฉันก็ดั้นด้นไปที่หัวหินจนได้

กำหนดการแสดงบนเวทีนั้นเริ่มในหกโมงเย็น ระยะทางจากกรุงเทพไปหัวหินนั้นไม่ได้ไกลนักหนา ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน สามชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เริ่มออกเดินทางในเวลาประมาณสิบโมงเช้าของวันเสาร์ อากาศที่กรุงเทพในเช้าวันเสาร์นั้นแจ่มใสมาก ระหว่างทางที่ไป มีฝนตกเป็นระยะๆ หนักบ้างเบาบ้าง บางช่วงก็มีรถที่ขับไม่สุภาพ อีกต่างหาก

เส้นทางการจราจรบนถนนเพชรเกษมนั้น หาได้ราบเรียบตลอดทางไม่ บางช่วงก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ยิ่งช่องทางที่มีรถบรรทุกวิ่งยิ่งแล้ว ถนนจะเป็นหลุมลงไปตามรอยล้อรถที่บดลงไปบนถนน ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างมาก ดูแล้วอุปสรรคเยอะพอสมควรเลยนะคะ แต่ก็ไม่หวั่น ยังไปต่อได้เรื่อยๆ

แวะชมพระที่นั่งมฤคทายวันก่อน ครั้งนี้ไมได้ขึ้นไปชมข้างบนด้วยเนื่องจาก ดิฉันใส่เสื้อไม่มีแขนไป ที่นั่นต้องแต่งกายสุภาพ หากใครใส่เสื้อไม่มีแขน ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนไปยื่นด้วย ตอนนั้นไม่ได้พกไปด้วย เก็บไว้ในรถค่ะ ด้วยความขี้เกียจ ไม่ยอมเดินกลับไป เลยไม่ได้ขึ้นไปชมข้างบน แต่ช่างเถอะ ชมสวนรอบๆก็พอ เพราะเคยขึ้นไปข้างบนแล้ว

เม็ดฝนเริ่มปรอยๆ ลงมาแล้ว พวกเราเลยต้องอำลาจากสถานที่แห่งนี้ ตกลงกันว่าขึ้นไปเที่ยวบนเขาตะเกียบกันดีกว่า เวลานั้น ที่นั่นฟ้าใส ไม่มีเมฆฝนเลย มองจากข้างบนลงมาที่ทะเล เห็นทะเลสีฟ้าสวยถึงแม้ว่าจะมีแดดร้อน แต่ลมเย็นๆ ในที่สูง ก็ทำให้คลายความร้อนของอากาศรอบตัวลงไปได้มากพอสมควร

พวกเราใช้เวลากับที่นั่นไม่นานนัก ก็ลงมารับประทานอาหารมื้อเย็นที่ร้านอาหารทะเลสดๆ ใกล้ๆกับหมู่บ้านชาวประมงแถวนั้น เริ่มมืดแล้ว ก็ตกลงกันว่าไปที่งานเลยดีกว่า พวกเราเลือกที่จะจอดรถที่โรงเรียนหัวหินวิทยา ที่นี่อยู่ห่างจากบริเวณงานเหมือนกัน แต่มีรถรับส่งฟรี น่าชื่นชมบริการนี้นะคะ คนขับรถก็ขับด้วยความสุภาพ ไม่เหมือนรถโดยสารสาธารณะในกรุงเทพเลย

พอไปถึงบริเวณงาน โอ้แม่เจ้า !! ผู้คนมาจากไหนเยอะแยะไปหมดก็ไม่รู้ Jazz Festival จัดที่หาดหัวหินครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 แล้ว แบ่งเวทีออกเป็นสองเวทีฝั่ง ซ้ายมือจะเป็นเวที บริเวณหาดของโรงแรมฮิลตัน อีกเวที จัดขึ้นบริเวณพื้นที่ของโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พวกเราเลือกไปนั่งฝั่งโรงแรมฮิลตัน ไม่ลืมเอาเสื่อไปปูนั่งด้วย

ระหว่างทางที่เดินไป มีร้านค้าเต็มไปหมดทั้งสองฝั่งถนน พอไปถึงที่หาด ก็มีบูธ ขายสินค้าเรียงรายเต็มไปหมด เสียพื้นที่สำหรับการนั่งชมไปเยอะพอสมควร

เราไปนั่งใกล้ๆกับบูธของธนาคารกสิกรไทย ผู้คนเดินไป เดินมา โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหยุดเดินกันเสียที บางคนเดินไปก็เตะทรายใส่คนที่นั่งอยู่ บางคนก็เดินตัดไปตัดมา แทบจะข้ามหัวพวกเราด้วยซ้ำ คิดว่าอาจจะเป็นเพราะไม่มีที่นั่งก็เป็นได้ เสียงคนอื้ออึง ทั้งคนที่เดินไปเดินมา ทั้งพนักงานของบูธที่จ้องแต่จะขายสินค้าของตนเอง พนักงานของธนาคารก็ขายบัตรเครดิตกันอย่างเมามัน

พวกเราใช้เวลานั่งอยู่ที่นั่นจนถึง เกือบสี่ทุ่ม (เห็นบอกว่าปิดงานเที่ยงคืน) ยังไม่ได้บรรยากาศ Jazz on the beach เลยค่ะ นั่งดูคนเดินไปเดินมาจนเวียนหัว บวกกับดนตรี ที่ไม่น่าจะใช่แจ๊สเลย เกือบสามชั่วโมงที่นั่งฟังนั้น ไม่ได้เพราะเสนาะหูเลย เป็นบรรยากาศที่น่ารำคาญมากกว่า ดูไปดูมาเหมือนงานวัด หรืองานกาชาดมากกว่า ดิฉันเลยเลือกที่จะไปฟัง Jazz in the car ดีกว่า

พวกเราลุกออกจากที่นั่นเกือบสี่ทุ่ม ตัดสินใจขับรถกลับกรุงเทพ คืนนั้นเลย รู้สึกว่ามันเป็นการเสียเวลาที่ดั้นด้น ฝ่าสายฝน ฝ่าอะไรหลายๆอย่างกว่าจะมาดูดนตรีแจ๊สในงานนี้ แต่ก็ต้องผิดหวังกลับไป คณะจัดงานจัดได้แย่มากๆ เห็นบอกว่า Heineken เป็นผู้สนับสนุนรายการรายใหญ่

อดเทียบกับ Music in the park ที่เบียร์สิงห์จัดไม่ได้ค่ะ บรรยากาศแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพลง ซิมโฟนี ที่ฟังในสวนนั้น เพราะและได้บรรยากาศของการฟังดนตรี การขายเครื่องดื่ม อาหารหรือแม้กระทั่งสินค้าอื่นๆ จะถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วน ไม่เบียดบังพื้นที่ที่จะนั่งฟังดนตรี เหมือนอย่างที่ของ Heineken จัดในงาน Jazz festival

บอกได้เลยค่ะว่า Hua Hin Jazz Festival ครั้งที่ห้านี้ จัดงานได้แย่มาก


( ภาพ : Snug Harbor โดย Pollera Daniel )

Thursday, June 01, 2006

..ครอบครัวรักคุณ..


ขอเล่าเรื่องความรักอีกสักครั้งเถอะค่ะ ..

ครั้งนี้มาเล่าเรื่องความรักที่ขมขื่นดีกว่า หลังจากที่เคยเล่าเรื่องรักโรแมนติคหวานแหววไปหลายหนแล้ว

ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เป็นที่รู้ๆอยู่ว่าอายุปูนนี้ ย่อมมีเรื่องอกหักเข้ามาในชีวิตอยู่แล้ว ไม่ใช่หนเดียวด้วย หลายหนเหมือนกัน นับแต่เราอกหักจากชาวบ้านนะคะ สำหรับเรื่องที่ชาวบ้านอกหักจากเรา เราก็ไม่ใส่ใจ เพราะต่างคนก็ควรจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง จริงมั้ยคะ เกิดมาคนเดียวนี่นา ไม่ได้เกิดมาด้วยกัน พูดอย่างนี้เหมือนคนใจดำเลยนะคะ แต่จริงๆดิฉันไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรอก เพียงแต่เป็นคนที่ไม่ให้ความหวังใคร ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ใช่คบแล้วรอที่จะสลัดเพื่อไปหาคนที่ดีกว่า

เวรกรรม!! ว่าจะเล่าเรื่องรักรันทดของตัวเอง ไหงกลายเป็นแขวะคนอื่นเขาไปได้ ไม่ดีค่ะไม่ดี เอาเป็นว่า วกเข้าประเด็นที่อยากเล่าดีกว่านะคะ

เมื่อประมาณ 6-7ปีก่อน ดิฉันมีแฟนคนหนึ่ง เราคบกันได้ประมาณ ปีกว่า ตอนนั้นอายุประมาณ 28-29 นี่แหละ จะว่าเด็กก็ ไม่ใช่ อายุขนาดนั้นบางคนมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะดิฉันถูกเลี้ยงให้เป็นเด็ก ยังอยู่ในอ้อมอกพ่อแม่เสมอ เลยไม่ค่อยมีความเป็นผู้ใหญ่เท่าไร แน่นอน คนที่มีความเป็นเด็กสูงมักต้องการการเอาอกเอาใจ ซึ่งบางทีมันก็มากเกินไป พอมารู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีใครที่ทนได้เหมือนพ่อแม่พี่น้องเราหรอกค่ะ

เมื่อมีปัญหาทางใจ อาการมันก็ออกมาทางกาย อย่างที่ทราบดี นั่นคือใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจมันป่วย กายมันก็ต้องป่วยด้วย งานการไม่ต้องทำกันเลย นอนไม่หลับ เวียนหัว คิดมาก โรคอะไรก็เป็นไปหมด กระเพาะก็ถามหา ข้าวปลาก็ไม่ต้องรับประทานกัน

ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักของโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ค่ะ จำได้ว่าคืนหนึ่งรูมเมทไม่อยู่ ดิฉันเดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ในห้อง หลังจากนั้นรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวไม่ได้แน่ๆ เลยเรียกน้องสาวมารับกลับบ้าน ไม่กี่นาทีน้องก็มาถึง รับกลับบ้านดึกคืนนั้นเลย ดิฉันนอนร้องไห้ สะอึกสะอื้นทั้งคืน นอนกับแม่ทั้งพ่อทั้งแม่ปลอบใจ แต่พ่อจะเป็นคนที่ให้สติมากกว่า จำได้ว่า พ่อบอกว่า "อ่อนแอแบบนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?"

แต่ตอนนั้น ยังค่ะ ยังไม่ดีขึ้น สองสามวันหลังจากนั้นก็อาการออกอีก จากการที่รับประทานอาหารไม่ค่อยลง (หลายคนคงมีประสบการณ์ว่าอกหักแล้วกินข้าวไม่ลงนั้นอาการเป็นยังไง? อิอิ) คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยค่ะ เป็นไงล่ะคะ นอนให้น้ำเกลือไป 3-4วัน ซมเลย คนที่ทำให้เราอกหักก็ไม่ได้เข้ามาดูดำดูดีหรอกค่ะ คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง เสียงานเสียการ จำได้ว่าช่วงนั้นหยุดงานเป็นอาทิตย์เลย เดือดร้อนเพื่อนร่วมงาน ต้องมาทำงานแทนอีก ทุกข์ของชาวบ้านด้วย ดูสิ!!

หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล คืนนั้น ก็ชวนน้องไปท่องราตรีอีก ช่วงนั้นเที่ยวประชดชีวิตเลยค่ะ เมาหัวราน้ำ ( ดื่มค็อกเทลก็เมาได้นะคะ) เชื่อไหมว่า ตอนนั้นกระแสละตินมาแรง ดิฉันไปเที่ยวละตินผับจนคุ้นกับพวกแดนเซอร์ บางคืนผับปิดแล้วยังชวนกันกับน้องสาวขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่พัทยากันต่อ เคยมีหนหนึ่ง น้องไปใส่บาตรที่ตลาดพัทยาต่อได้เลย และขับรถกลับบ้านตอนรุ่งเช้าหลังจากพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว โชคดีที่พวกเราไม่ได้ ไปรู้จักใครใหม่สุ่มสี่สุ่มห้าในสถานบันเทิงดังกล่าว ระวังตัวค่ะเพราะคิดว่าอันตรายมากเหมือนกัน ที่จำเป็นต้องกลับเพราะที่บ้านโทรศัพท์ตามตัวด้วยความเป็นห่วง

ช่วงที่ดิฉันออกจากโรงพยาบาล ได้ยามาประมาณ 11 ชนิดเรียกว่ารับประทานแทนข้าวได้เลย ตอนนั้นคุณย่า (สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) เห็น ท่านถามถึงเหตุผลที่ใช้ยาเยอะแยะ มากมายถึงขนาดนั้น ด้วยความเป็นห่วง ท่านจับตาดูดิฉันแทบทุกฝีก้าว ขนาดที่ดิฉันเข้าครัวท่านยังตามเข้าไปคุยด้วย ทั้งคุณอา น้องสาว ไม่มีใครที่ไม่ห่วงดิฉัน จำคำพูดคำหนึ่งที่คุณอาบอก ท่านบอกว่า “คิดอะไรอย่าคิดเอง ให้คนอื่นช่วยคิด เพราะคิดเองมันจะวนอยู่และหาทางออกไม่ได้” (คนอื่นที่ให้ช่วยคิดนี่ ไม่ได้หมายความว่าให้พากันหลงทางนะคะ)

ย้อนมองกลับไปยังวันนั้น ดิฉันสามารถจะยิ้มให้กับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ ทั้งนี้อยู่ที่ใจของตัวเองด้วยค่ะ อาศัยเวลาและใจที่เข้มแข็ง ความรักที่ผิดหวังนั้น ขอให้เป็นวัคซีนที่จะป้องกันเราสำหรับความรักในครั้งต่อไป เป็นบทเรียนเพื่อจะสอนเราให้มีความรักครั้งใหม่ที่สวยสดงดงาม เราสร้างได้ด้วยมือเรานะคะ

ดิฉันว่า เมื่อเราเป็นทุกข์ เราอาจจะคิดว่าเราทุกข์คนเดียว เหมือนเราอยู่ในโลกคนเดียว จมอยู่กับความทุกข์ แต่คนที่ทุกข์กับเราด้วยคือทุกคนที่อยู่ในครอบครัวเราค่ะ หลายครั้งแล้วที่ดิฉันพร่ำให้สถาบันครอบครัวหันมาสนใจเด็ก แต่คราวนี้ อยากจะให้เด็กๆ หันกลับมาหาครอบครัวบ้าง

อย่าลืมว่า คนในครอบครัว รักคุณนะคะ ..


( ภาพ : Summer Memories โดย Pollera Daniel )